Lifestyle

Lifestyle
National Cheese Day
ร่วมฉลองวันชีสแห่งชาติ
กับเมนูโปรดตลอดกาลของคนรักชีส

วันที่ 4 มิถุนายน ของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็น National Cheese Day หรือ วันชีสแห่งชาติ วันที่ทุกชาติร่วมกันเฉลิมฉลองให้แก่นวัตกรรมทางอาหารที่ศักดิ์สิทธิ์ (และอร่อย) ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ความเก่าแก่ของชีสนั้นคาดคะเนว่าย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์โน่น รวมไปถึงยังมีหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นว่า อาหารจากนมชนิดนี้เป็นที่นิยมในทุกอารยธรรมเก่าแก่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อียิปต์ หรือจีน จนกระทั่งถูกส่งผ่านอย่างรวดเร็วในช่วงจักรวรรดินิยมยุโรป ไปสู่เอเชีย แอฟริกา และอเมริกาในที่สุด ชีสเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมากจากนม ซึ่งรสชาติและผิวสัมผัสของชีสแต่ละชนิด ก็เกิดจากนมของวัว ควาย แกะ หรือแพะ รวมไปถึงอุณหภูมิและกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันนั่นเอง และความเข้าใจผิดมากๆ อย่างหนึ่งเกี่ยวกับชีสก็คือ มันคือ “เนยแข็ง” ที่มักจะถูกเหมารวมว่า ก็เหมือนกับเนยอื่นๆ นั่นแหละเพียงแต่แข็งกว่า ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าชีส (หรือ ‘เนยแข็ง’ อย่างที่เรียกกันทั่วไป) และเนย จะทำมาจากนมเหมือนกัน แต่ “ชีสก็คือชีส” สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คือ ‘ชีส’ นำเอาส่วนโปรตีนของนมมาใช้แปรรูป จัดเป็นอาหารจำพวกโปรตีนเหมือนเนื้อสัตว์ ในขณะที่ ‘เนย’ นำเอาส่วนของไขมันมาใช้ ดังนั้นในทางโภชนาการเนยและชีสจึงจัดเป็นอาหารคนละประเภทกันนั่นเองชีสสามารถแบ่งออกได้หลักๆ เป็น 5 ประเภท ตามความแตกต่างของกระบวนการผลิต ชนิดของน้ำนม ระยะเวลาในการบ่ม เชื้อราที่ใช้แยกไขมันออกจากน้ำนม อุณหภูมิ พื้นผิว และความราบเรียบ ได้แก่ Fresh Cheese, Soft-White Cheese, Natural-Rind Cheese, Wash-Rind Cheese และ Hard Cheese โดยชีสแต่ละชนิดก็ยังสามารถแบ่งย่อยลงไปให้ละเอียดยิ่งขึ้นได้อีกเป็นร้อยเป็นพันชนิดเลยทีเดียว สำหรับสิ่งที่ต้องทำใน National Cheese Day ของคนรักชีส ก็ง่ายแสนง่าย แค่หาชีสแบบที่ชอบมารับประทานกับอาหารจานโปรดร่วมกับครอบครัวและเพื่อนๆ อาจจะลองชิม ลองสร้างสรรค์ มองหาเมนูใหม่ๆ เพราะชีสนั้นถือเป็นวัตถุดิบมหัศจรรย์ที่เข้ากันได้ดีกับหลากหลายเมนูจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น บรีชีส รับประทานกับผลไม้รสหวานให้ความสดชื่น สวิสชีส สีเหลืองทองมีรูพรุนอันคุ้นตาที่สามารถรับประทานเปล่าๆ ได้เลย เชดดาร์ชีส โรยหน้าสลัด ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานที่ชอบ รวมไปถึง มอซซาเรลลาชีส ชีสยืดที่ขาดไม่ได้ในลาซานญ่าและพิซซ่าหน้าโปรดห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพ ร่วมเฉลิมฉลอง National Cheese Day ด้วย โฮมเมดพาสตา และ โฮมเมดพิซซ่า หอมอร่อยด้วยชีสคุณภาพดี ทำแป้งสดใหม่ทุกวันด้วยแป้งอิตาลีนำเข้าพิเศษที่ผ่านการบ่มนานถึง 72 ชั่วโมง มีให้เลือกหลากหลายหน้า ทั้ง Cheese Pizza, Margherita Pizza, Hawaiian Pizza, Chicken Tikka Pizza, Seafood Pizza, Crab Stick Pizza, Parma Ham Pizza และ Smoked Salmon Pizza ให้ทุกวันเป็นวันแห่งชีสได้ง่ายๆ เพียงสั่งรายการอาหารออนไลน์ที่ต้องการ ก่อนจะเข้ามารับอาหารที่โรงแรมด้วยตนเอง หรือใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรีมารับอาหารแทนก็ได้เช่นกัน ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก  โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ เปิดให้บริการทุกวัน…
Editor
4 June 2021
Lifestyle

Lifestyle
นมยิ่งดื่มยิ่งดี รับ “วันดื่มนมโลก”

วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดให้เป็น “วันดื่มนมโลก” (World Milk Day) เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการดื่มนม เพราะ “นม” นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่หาได้ง่ายแล้ว ยังให้ความสดชื่นและยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งสำคัญต่อการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต ไขมันและวิตามิน โดยใน 1 วัน เราจึงควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว หรือประมาณ 400 มิลลิลิตร เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในตลอดทุกช่วงชีวิต เลือกดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย ได้ประโยชน์กับทุกคนในครอบครัว “นมแม่” ดีที่สุด สำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน เพราะนมแม่คือวัคซีนหยดแรกที่จะช่วยปกป้องและเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการสติปัญญาที่ดี ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงสมวัย หากกรณีแม่ติดเชื้อโควิดหรือสงสัยว่าอาจจะได้รับเชื้อ ก็ยังสามารถให้นมลูกได้ เพราะยังไม่พบหลักฐานการแพร่ไวรัสผ่านทางน้ำนม แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อจากละอองน้ำมูกหรือการไอจามอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นแนะนำให้เลือกดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย ได้แก่ วัยเด็กและวัยเรียนเป็นวัยที่ยังต้องการสารอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว สำหรับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพิ่มซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้ดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1 แก้ว เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไขมันเกิน นมทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ ปัจจุบันมีนมให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น นมพาสเจอร์ไรส์ นมยูเอชที นมสเตอริไลส์ และยังมีนมทางเลือกจากออร์แกนิก ซึ่งนอกจากผู้บริโภคจะมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังไม่สร้างมลพิษให้กับธรรมชาติอีกด้วย อย่างนมของ DAIRY HOME ที่ได้รับการคัดสรรเป็นพิเศษ เน้นความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไป เช่น Grass Fed Milk เหมาะสำหรับผู้ป่วยพักฟื้นที่ต้องการเพิ่มสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณพิเศษ นอกจากนี้ยังมี Bed Time Gold สำหรับผู้แพ้แลคโตส ดื่มก่อนนอนช่วยให้หลับสนิทตลอดคืน และ Jersey Milk สำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนนมให้สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย ไม่มีโปรตีนเบต้าเคซีน A1 ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ จากนม เช่น โยเกิร์ตไร้น้ำตาล ไปจนถึงนมอัดเม็ดป้องกันฟันผุ โอกาสพิเศษเฉพาะในเดือนมิถุนายนนี้ สุขภาพดีได้ไม่ต้องไปไกลถึงเขาใหญ่ พบกับผลิตภัณฑ์จาก DAIRY HOME ได้ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี (บางนา - ตราด กม.18) เวลา 11.00 - 19.30 น.ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
Editor
1 June 2021
Lifestyle

Lifestyle
Bourse de Commerce–Pinault Collection
พิพิธภัณฑ์ที่คืนชีวิตชีวาให้กับโลกศิลปะอีกครั้ง

หลังจากจำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการเปิดมาถึง 2 ครั้งตั้งแต่ปีที่แล้ว การรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เมื่อ Bourse de Commerce–Pinault Collection พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งใหม่ ได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการที่ใจกลางกรุงปารีส นครหลวงของโลกแห่งศิลปะ เป็นที่เรียบร้อย ชื่อพิพิธภัณฑ์ Bourse de Commerce หมายถึงตลาดหลักทรัพย์ อันเป็นหน้าที่แต่เดิมของอาคารเก่าอายุกว่า 250 ปีแห่งนี้ ส่วน Pinault มาจากชื่อ François Pinault เจ้าของคอลเลคชั่นผลงานศิลปะกว่า 10,000 ชิ้น จากศิลปินกว่า 400 คน ที่เขาสะสมมาตั้งแต่ยุคซิกซ์ตีส์ ยุคที่ผลงานศิลปะเริ่มเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นของสูง สู่ความงามที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น จนอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยที่โมเดิร์นอาร์ตเบ่งบานที่สุดยุคหนึ่งก็ว่าได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะได้เห็นความหลงใหลที่มีต่อศิลปะของชายผู้ก่อตั้ง Kering บริษัทเจ้าของแบรนด์หรูอย่าง Gucci, Bottega Veneta, Alexander McQueen, Balenciaga และอีกมากมาย ผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อนหน้านี้ François Pinault ได้เคยเปลี่ยนอาคารเก่าแก่ในเวนิสอย่าง Palazzo Grassi และ Punta della Dogana ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์มาแล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน ด้วยความร่วมมือจากสถาปนิกคู่ใจคนเดิม Tadao Ando สถาปนิกชั้นครูชาวญี่ปุ่นผู้เลื่องชื่อในการผสมผสานธรรมชาติเข้ากับสิ่งก่อสร้างได้อย่างลงตัว โดยเขาทำการรีโนเวตด้านใน Bourse de Commerce ด้วยวัสดุที่เป็นดั่งลายเซ็นประจำตัวอย่างคอนกรีต เพื่อประโยชน์ใช้สอยสำหรับการจัดแสดงผลงาน ในขณะเดียวกันก็ยังคงความโดดเด่นของแสงเงาและโครงสร้างเดิมเอาไว้อย่างมีสุนทรียภาพBourse de Commerce เป็นอาคารแปลนรูปวงกลม มีโดมที่โปร่งแสงอยู่ด้านบนตรงกลาง และนอกจากห้องจัดแสดงผลงานระดับมาสเตอร์พีซของบรรดาศิลปินอย่าง Piet Mondrian, Mark Rothko, Jeff Koons, Urs Fischer และ Cindy Sherman แล้ว ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 10,000 ตารางเมตร ที่นี่ยังประกอบไปด้วยห้องต่างๆ สำหรับกิจกรรมที่หลากหลาย รวมไปถึงห้องจัดแสดงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศิลปะสื่อใหม่หลายแขนง อย่างวิดีโออาร์ต อินสตอลเลชันอาร์ต หรือเพอร์ฟอร์แมนซ์อาร์ตอีกด้วย อันที่จริงความตั้งใจที่จะทำพิพิธภัณฑ์ศิลปะของ François Pinault นั้น เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน และสถานที่ในใจของเขาคือโรงงานเก่าของรถยนต์ Renault ที่อยู่ทางตะวันตกของปารีส แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างเขาจึงเบนเข็มไปที่อาคารเก่า 2 หลังในเวนิสดังกล่าวแทน ทว่า “ปารีส” ยังคงติดอยู่ในใจเสมอมา จนกระทั่งได้มาเจอกับ Bourse de Commerce แห่งนี้ในที่สุด “ศิลปะแห่งอดีตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ใช่การมองกลับหลัง ตรงกันข้าม มันนำเราไปสู่อนาคตที่เราต้องประหลาดใจ” -  François Pinault “ศิลปะแห่งอดีตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ใช่การมองกลับหลัง ตรงกันข้าม มันนำเราไปสู่อนาคตที่เราต้องประหลาดใจ” -  François Pinault ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) ช่วงเวลาที่ผู้คนตื่นรู้ในเหตุผล อันนำไปสู่ความเจริญในด้านต่างๆ มากมาย รวมไปถึงคำว่า Renaissance ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า เกิดใหม่ ก็เป็นคำใช้เรียกช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในยุโรป การถือกำเนิดขึ้นของ Bourse de Commerce–Pinault Collection ในวันนี้ อาจเปรียบได้กับพลังที่ขับเคลื่อนโลกแห่งศิลปะให้ตื่นฟื้นจากการหลับใหลในช่วงเวลาอันยากลำบากที่ผ่านมา ราวกับ…
Editor
31 May 2021
Lifestyle

Lifestyle
วิธีดูแลสุขภาพกายและใจ
ในวันที่ต้อง Work From Home

มาถึงวันนี้ หลายคนคงคุ้นเคยกับการ Work From Home กันมากขึ้น หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว เพราะสำหรับคนที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกเป็นประจำ การทำงานจากที่บ้านย่อมเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องปรับตัวไม่ใช่น้อย ยังจำความรู้สึกที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่ต้องรีบอาบน้ำ ไม่ต้องขับรถ ไม่ต้องแวะซื้อกาแฟ แต่เอาเวลามาหัดใช้โปรแกรมประชุมออนไลน์ได้อยู่เลย แน่นอนว่าการไม่ต้องออกจากบ้าน ถือเป็นการช่วยลดการเกิดพื้นที่แออัดในที่สาธารณะ ทำให้ลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดได้ดี  แถมยังมีผลงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพนักงานไม่ต้องเร่งรีบในตอนเช้า รวมไปถึงได้นั่งทำงานภายใต้บรรยากาศที่สงบกว่าออฟฟิศด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตามทุกอย่างในโลกล้วนมีสองด้านเสมอ ไม่เชื่อลองก้มดูหลักฐานเชิงประจักษ์จากชั้นไขมันที่เพิ่มขึ้นมานั่นสิ ซึ่งนอกจากสุขภาพกายแล้ว หลายคนก็ยังมีปัญหาสุขภาพใจ รวมไปถึงทักษะการเข้าสังคมที่เริ่มจะหายไปอีกด้วย แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว อย่างที่บอกว่าตอนนี้ Work From Home ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป ประสบการณ์ที่ผ่านมาย่อมทำให้เรารับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น วันนี้ Power จึงมาแนะนำเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพใจของทุกคนแข็งแรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วง Work From Home อย่างนี้ กิน สิ่งหนึ่งที่ตามมาหลังจากต้องอยู่ติดบ้านนานๆ แบบเห็นได้ชัดจนกลายเป็นนิวนอร์มัลเลย คือการใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ บริการอะไรหนอช่างง่าย สะดวกสบาย ดีต่อกระเพาะอาหารเช่นนี้ เมื่อปีที่แล้วหลายคนอาจไม่ได้สังเกตพฤติกรรมนี้ของตัวเองเท่าที่ควร การ Work From Home ประกอบกับการรณรงค์ให้ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ทำให้มื้ออาหารไม่เป็นมื้ออาหารอีกต่อไป แถมแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ก็มีโปรโมชั่นจัดหนักบังคับให้เราซื้อให้ถึงยอดเพื่อที่จะได้ส่วนลดอีกต่างหาก ใครๆ ก็อยากเป็น Smart Buyer จริงไหม เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี อย่าให้พลาดเหมือนปีก่อนเชียว ในเมื่อ Work From Home ทำให้เราขยับตัวน้อยลง ในขณะที่เมื่อก่อนยังมีเดินไปไหนมาไหนอยู่บ้าง ทำให้สิ่งที่กินเข้าไปก็ถูกเบิร์นตามไปด้วย สมการง่ายๆ ตอนนี้ก็เลยต้องเลือกกินกันหน่อย มื้ออาหารจึงควรเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไขมัน น้ำตาล และโซเดียม หรือถ้าใครสะดวกสามารถปลูกพืชผักกินเองได้ยิ่งดีใหญ่ เพราะนอกจากจะได้ผักปลอดสารพิษแล้ว ยังได้ขยับร่างกาย รวมถึงสร้างนิสัยการกินที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆ กัน ดื่ม การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอสามารถช่วยป้องกัน “ภาวะขาดน้ำ” ของร่างกายได้ ซึ่งสาเหตุหลักอาจจะเกิดจากการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน หรือการประชุมออนไลน์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง โดยไม่ได้เตรียมน้ำดื่มเอาไว้ใกล้ๆ ซึ่งภาวะขาดน้ำนั้นสามารถก่อให้เกิดผลเสียตามมามากมายทั้งต่อร่างกายและจิตใจเลยทีเดียว หากมีภาวะขาดน้ำในระยะเริ่มต้น เราสามารถสังเกตอาการดังต่อไปนี้ ผิวและริมฝีปากจะแห้ง รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงนอน ปวดศีรษะ แต่หากมีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงนอกจากจะกระหายน้ำอย่างหนักแล้ว ก็จะมีอาการกระวนกระวาย เศร้าซึม ไม่มีเหงื่อ ไม่ปัสสาวะ ชีพจรเต้นเร็ว จนอาจถึงขั้นหมดสติได้ เพราะฉะนั้นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ก็คือดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำเปล่า ชาหรือกาแฟพอได้ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ยิ่งดื่มยิ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำเข้าไปใหญ่ สมดุล เมื่อต้อง Work From Home เส้นแบ่งระหว่างบ้านกับที่ทำงานจึงเลือนหายไป เพราะตื่นมาก็สามารถทำงานได้ทันที ในขณะที่พอเลิกงานก็ถึงบ้านเลยเช่นกัน ฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรจัดสรรพื้นที่ทำงานเฉพาะให้แยกส่วนกับกิจกรรมอื่นๆ ภายในบ้าน รวมไปถึงพยายามจัดเวลาพักให้สม่ำเสมอ ทั้งเบรกเช้า พักกลางวัน และเบรกบ่าย รวมไปถึงการหยุดคิดเรื่องงานหลังจากที่หมดวันไปแล้ว ก็จะช่วยทำให้ผ่อนคลายและลดความเครียดได้ อีกสิ่งหนึ่งที่หายไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือการติดต่อกับผู้คน หรือที่ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Water Cooler Effect นั่นเอง ซึ่งก็เปรียบได้กับช่วงเวลาที่พนักงานเดินไปพักที่ตู้กดน้ำหรือในครัวแล้วยืนคุยกัน โดยที่มีงานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่า Water Cooler Effect ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานหรือการออกไอเดียของพนักงานนั้นดีขึ้น เพราะฉะนั้นการติดต่อ สื่อสาร หรือพูดคุยนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด ไม่ว่าจะกับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงาน แม้จะเป็นการพูดคุยผ่านโทรศัพท์หรือซูมก็ยังดี อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทุกคนจึงจำเป็นต้องอาศัยการปรับตัวไปตามสถานการณ์อย่างรู้เท่าทัน…
Editor
18 May 2021
DestinationLifestyle

DESTINATION
ท่องไปในกาลเวลา
เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ผ่านหน้าจอ

ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับกระแส “เที่ยวทิพย์” ในช่วงที่การเดินทางออกไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้สะดวกเช่นนี้ การอยู่กับบ้านแม้จะฟังดูน่าเบื่อ แต่มันมีส่วนสำคัญในการช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคระบาดได้ โชคยังดีที่ความก้าวหน้าของโลกทุกวันนี้ ยังพอมีช่องทางให้เราเที่ยวผ่านหน้าจอพอแก้เหงาได้ไม่ยาก จริงอยู่ที่การเที่ยวเสมือนจริงอาจทำให้เสน่ห์บางอย่างหล่นหายไป ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สายลม แสงแดด หรือแม้แต่ความเป็นไปของบรรดาผู้คนในสถานที่นั้นๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียไปทั้งหมด เพราะหลายครั้งการที่เราต้องเผชิญกับอุณหภูมิเกินต้าน ฝนที่เทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ทำให้การถ่ายรูปสวยๆ กลายเป็นเรื่องยาก รวมไปถึงข้อจำกัดของการเข้าชมหลายๆ อย่าง วันนี้ Power จึงจะมาชวนทุกคนไปออกทริปย้อนเวลา ผ่านทางเว็บไซต์อุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง (Virtual Historical Park) ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ประวัติความเป็นมา ข้อมูลเชิงลึกต่างๆ พร้อมคำบรรยาย 5 ภาษาให้ได้ศึกษากันอย่างเต็มอิ่ม ในรูปแบบเสมือนจริงกับภาพ 360 องศา ที่รับรองว่าไม่สามารถสัมผัสได้จากที่ไหนนอกจากทางหน้าจอของคุณเองเท่านั้น อุทยานประวัติศาสตร์ หมายถึง บริเวณสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี มีองค์ประกอบสำคัญหลักๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม ซากโบราณสถาน สภาพแวดล้อมของโบราณสถาน ตลอดจนการผสมผสานกันระหว่างการก่อสร้างของมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม โดยจะต้องมีการผสมผสานกันอย่างกลมกลืน และสามารถที่จะรักษาสภาพอันเป็นของแท้และดั้งเดิมนั้นไว้ได้ ปัจจุบันประเทศไทยมีอุทยานประวัติศาสตร์ในการดูแลของกรมศิลปากรทั้งสิ้น 11 แห่งทั่วประเทศ  โดยล่าสุดกรมศิลปากรได้ประกาศจัดตั้งปราสาทสด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว ขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งใหม่ แห่งที่ 11 เมื่อปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา และจาก 11 แห่ง มีอุทยานฯ 4 แห่ง ที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่เราจะไปทำความรู้จักกันในวันนี้ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ราชธานีเก่าซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18–19 แห่งนี้ มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม กำแพงเมืองกว้างประมาณ 1,600 เมตร ยาวประมาณ 1,800 เมตร มีโบราณสถานสำคัญตั้งอยู่กลางเมืองและกระจายตัวทั่วทั้งเมือง นอกจากนี้ยังพบโบราณสถานน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วไปภายนอกกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศรวมแล้วมากกว่า 200 แห่งอีกด้วย โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ มณฑปวัดศรีชุม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปมารวิชัยขนาดใหญ่อันงดงามอ่อนช้อยตามพุทธศิลป์แบบสุโขทัย วัดมหาธาตุ วัดหลวงและสุสานหลวงประจำเมือง ประกอบด้วยเจดีย์ประธาน วิหาร มณฑป โบสถ์ และเจดีย์รายจำนวนมากถึง 200 องค์ วัดช้างล้อม ตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง สถานที่พบศิลาจารึกหลักที่ 106 อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อีกหนึ่งอุทยานประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสุโขทัยแห่งนี้ เป็นแหล่งค้นพบทางโบราณคดีสำคัญถึงการเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีการอาศัยต่อเนื่องและพัฒนามาเป็นชุมชนร่วมสมัยทวารวดี ต่อมาได้มีการย้ายศูนย์กลางของเมืองมาทางด้านทิศเหนือ และเรียกชื่อเมืองว่า “ศรีสัชนาลัย” โดยดำรงสถานะเป็นเมืองลูกหลวงที่มีความสำคัญควบคู่กันมากับเมืองสุโขทัยนั่นเอง อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏ แสดงให้เห็นถึงผลงานทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น นับเป็นตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศ โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ วัดเจดีย์เจ็ดแถว ภายในวัดมีเจดีย์ทรงต่างๆ มากถึง 33 องค์ วางตัวอย่างเป็นระเบียบแบบแผนตามคติจักรวาล สันนิษฐานได้ว่าเป็นสุสานหลวง หรือสถานที่บรรจุอัฐิของพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์สุโขทัย วัดนางพญา กับวิหารประธานที่มีผิวปูนฉาบประดับลายปูนปั้น อันเป็นแรงบันดาลใจให้ช่างฝีมือท้องถิ่นนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นลวดลายเครื่องประดับเงินและทองที่รู้จักกันในนาม “ทองโบราณศรีสัชนาลัย” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง (วัดพระบรมธาตุเมืองเชลียงหรือวัดพระปรางค์) ปรางค์ประธานขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ด้านหน้าองค์ปรางค์มีวิหาร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ถัดไปทางด้านขวามีพระพุทธรูปปูนปั้นปางลีลาที่มีลักษณะอ่อนช้อยงดงามมาก จนนักประวัติศาสตร์ศิลปะยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซเทียบเท่าประติมากรรมของ Donatello ศิลปินแห่งยุค Renaissance เลยทีเดียว อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยา อดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ที่มีอายุยืนยาวถึง 417 ปี มีโบราณสถานมากมาย ทั้งพระราชวังโบราณ…
Editor
14 May 2021
Lifestyle

Travel in Style
Rainy Day Fail – Proof

PHOTOGRAPHY : COURTESY OF BRANDS แต่งตัวให้สนุกไปกับทุกลุค แม้ในวันที่ฝนโปรยปราย ด้วยหลากหลายไอเทมรับหน้าฝนสุดเท่ ให้ลุคแบบคูลกายคูลเกิร์ล ที่สุดแห่งเสน่ห์กระชากใจสไตล์อาร์มีกรีน นาฬิกาข้อมือ จาก Gucci ต่างหู จาก Prada แว่นตา จาก  Gucci หมวก จาก Burberry ร่ม จาก Burberry รองเท้า จาก Alexandermcqueen กระเป๋าสะพาย จาก Prada ชุดเดรส จาก Gucci Fail-Proof นาฬิกาข้อมือ จาก Panerai แว่นตา จาก Prada กระเป๋าสะพาย จาก Balenciaga ร่ม จาก Balenciaga เสื้อแจ็กเก็ต จาก Gucci รองเท้า จาก Gucci กางเกงขาสั้น จาก Gucci
Editor
11 May 2021
Food & DrinksLifestyle

FOOD & DRINKS
เรื่องราวของสตรีตฟู้ด
เสน่ห์แห่งรสชาติที่ไม่เคยเลือนหายไปจากกรุงเทพมหานคร

สตรีตฟู้ด หรือ อาหารริมทาง นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “ของดี” ประจำประเทศไทยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในปี 2018 ที่ทาง CNN ได้ยกให้ย่านเยาวราชเป็นที่ 1 ในการจัดอันดับเมืองแห่งสตรีตฟู้ดที่ดีที่สุดในโลก ทำให้การตระเวนชิมสตรีตฟู้ดได้กลายมาเป็นกิจกรรมระดับแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและจากทั่วโลกจำนวนมาก สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็น “มหานคร” ของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี อันที่จริงสตรีตฟู้ดไม่ใช่ของใหม่ เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า มีการขายอาหารริมถนนตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนในสมัยกรีกโบราณและปอมเปอี แน่นอนว่าที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีอาหาร โดยเฉพาะกับเมืองใหญ่ๆ เช่นนี้ อย่างเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปสู่เอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) ด้วยความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความความรีบเร่ง อาหารจานด่วนอย่าง ซูชิ จึงกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับประเทศไทยเราที่มีความหลากหลายของผู้คน วัฒนธรรม และอาหารการกินสูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่าน “สตรีตฟู้ด” ที่ถูกอกถูกใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาโดยตลอด แม้ว่าบางช่วงบางเวลาการรับประทานอาหารริมทางนอกบ้านจะเป็นเพียงค่านิยมของคนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย แต่เมื่อสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา อาหารริมทางจึงกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่แทบจะขาดไม่ได้ไปในที่สุด ก็ทั้งรสชาติ ทั้งราคา หรือลองจินตนาการเล่นๆ ถึงบรรยากาศของทุ่งภูเขาทอง ท่าช้าง ไปจนถึงย่านบางลำพูสมัยก่อน  เป็นใครก็คงต้องติดใจ จริงไหม? The Capital of Street Food เสน่ห์ของสตรีตฟู้ดของไทยอยู่ที่ “ความเป็นกันเอง” ทั้งในเรื่องของราคาที่สมเหตุสมผล รสชาติและเมนูที่หลากหลาย ไปจนถึงการที่สามารถหารับประทานได้ในทุกช่วงเวลาของวัน นั่นจึงทำให้กรุงเทพมหานครเปรียบได้ดั่งเมืองหลวงของสตรีตฟู้ดอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับเมนูสตรีตฟู้ดขึ้นชื่อที่หลายคนนึกออกเป็นอันดับต้นๆ เห็นจะเป็น “ผัดไทย” เมนูที่ครองใจไม่ว่าคนไทยหรือต่างชาติเสมอมา ด้วยความลงตัวของรสสัมผัสจากเส้นจันท์ที่มีความเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับซอสผัดที่ปรุงมาโดยเฉพาะ กลิ่นหอมของกระทะไหม้เล็กน้อย และรสชาติเข้มข้นจัดจ้านของบรรดากุ้ง หมูย่าง หรือหมูกรอบที่ถูกผัดจนเข้าเนื้อ เพียงแค่คิดตามก็ทำเอาน้ำลายสอได้ง่ายๆ ตามมาด้วย “ก๋วยเตี๋ยว” นานาเมนูเส้นที่อร่อยเด็ดไม่แพ้ผัดไทย ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อซุปกลมกล่อมทั้งน้ำข้นน้ำใส ลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นเอ็น เนื้อสด เนื้อเปื่อย รับประทานกับลูกชิ้นปิ้งน้ำจิ้มรสเด็ด ก๋วยเตี๋ยวปลา เกี๊ยวปลา ลูกชิ้นปลาลวกจิ้ม ก๋วยจั๊บเส้นเหนียวนุ่มกับน้ำซุปกลมกล่อมหอมพริกไทยซดคล่องคอ หรือบะหมี่เกี๊ยว ซุปกระดูกหมู พร้อมหมูย่างที่จะรับประทานกับซีอิ๊วหวานหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดก็เข้ากันและที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ “ส้มตำ” อาหารอีสานคู่บ้านคู่เมืองของไทย รับประทานกับไก่ย่าง คอหมูย่าง เนื้อนุ่ม กลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม อย่าลืมตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างหม้อแกง ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวถั่วดำ ตะโก้ สังขยา ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง มิเช่นนั้นเดี๋ยวกระเพาะของหวานจะน้อยใจเอาได้ แน่นอนว่าสำหรับใครหลายคน นอกจากรสชาติของอาหารแล้ว การได้เดินทางไปหาของอร่อยตามที่ต่างๆ ถือเป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลอีกอย่างของสตรีตฟู้ดก็ว่าได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า สตรีตฟู้ดนั้นเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ต่อให้อะไรจะเปลี่ยนไป ขอเพียงปรับตัวให้เท่าทันด้วยความเข้าใจ ความมีชีวิตชีวาของสตรีตฟู้ดนั้นย่อมยังคงอยู่ให้รู้สึกเสมอ ไทย เทสต์ ฮับ มหานคร คิวบ์ (Thai Taste Hub Mahanakhon CUBE) ศูนย์รวมสตรีตฟู้ดแห่งใหม่ใจกลางเมืองย่านสาทร–สีลม พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์ใหม่แห่งรสชาติ ไปกับสุดยอดร้านอาหารระดับตำนานของเมืองไทยมากมายในราคาที่ทุกคนสัมผัสได้ มั่นใจในสุขอนามัยและความปลอดภัยด้วยมาตรการดูแลป้องกันที่เข้มงวด เน้นย้ำกำกับใช้มาตรการ D-M-H-T-T เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด ตลอดจนสามารถสั่งอาหารผ่าน โรบินฮู้ด (Robinhood) แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติไทย ให้ส่งตรงความอร่อยถึงหน้าบ้านได้อีกด้วย
Editor
7 May 2021
Lifestyle

Lifestyle
Vichy – a Story of Beauty and Sustainability

‘วิชี่’ กับความงามที่ยั่งยืนในแบบฉบับของตัวเอง ‘วิชี่’ กับความงามที่ยั่งยืน ในแบบฉบับของตัวเอง วิชี่และจุดกำเนิดแห่งเวชสำอาง แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส วิชี่ (Vichy) ถือกำเนิดขึ้นในปี 1931 โดย ดร.พรอสเปอร์ ฮอลเลอร์ ที่ได้ค้นพบความพิเศษของน้ำแร่วิชี่ที่มีความสามารถในการรักษาแผล จึงได้ทำการศึกษาคุณสมบัติของแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในน้ำแร่วิชี่อย่างจริงจัง จนนำไปสู่การเป็นส่วนผสมหลักอันทรงพลังในทุกผลิตภัณฑ์ของวิชี่ เพื่อคำตอบของผิวแข็งแรงสุขภาพดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอด 90 ปี ที่วิชี่สร้างชื่อในธุรกิจเวชสำอาง เพื่อดูแลผิวบอบบางของผู้หญิงที่ต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยน จนได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง ในขณะเดียวกันก็ปกป้องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนควบคู่กันไป ซึ่งภารกิจนี้มีความเป็นรูปธรรมและมีแนวทางในการปฏิบัติที่ยั่งยืนครอบคลุมทุกขั้นตอนในกระบวนการผลิต ตั้งแต่การจัดหาส่วนผสมเครื่องสำอาง ไปจนถึงการนำเสนอสูตรสำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนของน้ำแร่วิชี่ วิชี่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านสูตรที่ใช้ประโยชน์จากน้ำแร่จากแหล่งภูเขาไฟธรรมขาติ เพื่อการบำรุงดูแลและให้ความสำคัญกับผิวบอบบาง โดยเฉพาะ Vichy Minéral 89 พรีเซรั่มน้ำแร่เข้มข้น ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความบางเบาแต่ให้การฟื้นฟูได้อย่างล้ำลึก อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งของวิชี่ที่ผู้บริโภคไม่ได้เห็น นั่นก็คือโรงงานของแบรนด์ที่ซ่อนตัวอยู่ในโอแวงก์ (Auvergne) ซึ่งเป็นพื้นที่ในแหล่งภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส โดยใช้เป็นฐานการผลิตที่เดียวมาตั้งแต่ปี 1969 ซึ่งที่นั่นวิชี่ได้อุทิศตัวอย่างเงียบๆ ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยอยู่ห่างจากน้ำพุธรรมชาติเพียง 3 ไมล์ จากแหล่งกำเนิดของน้ำแร่ที่ผ่านความร้อนกว่า 140 องศาเซลเซียส น้ำแร่วิชี่จึงอุดมไปด้วยแร่ธาตุหายากถึง 15 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มีแคลเซียม โพแทสเซียมและแมงกานีส ที่ช่วยเสริมการป้องกันตามธรรมชาติของผิวด้วย น้ำร้อนนี้มีแหล่งที่มาในพื้นที่คุ้มครองซึ่งได้รับการอนุรักษ์ให้ปราศจากจากมลภาวะต่างๆ มาตั้งแต่ปี 1874 ซึ่งก็ต้องขอบคุณในความทุ่มเทของวิชี่ ในการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ในปี 2559 ที่วิชี่ร่วมมือกับโปรเจก Auverwatch เพื่อสังเกตวิวัฒนาการในระยะยาวของน้ำพุร้อนเหล่านี้ นอกจากนั้นวิชี่ยังโปร่งใสมากพอสำหรับการตรวจสอบกระบวนการซื้อส่วนผสมในทุกแง่มุม สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แบรนด์จึงปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งปกป้องการอนุรักษ์และการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน จุดยืนของวิชี่ในการทดสอบกับสัตว์ เมื่อปัญหาในการทดสอบกับสัตว์นั้นมีการเร่งเร้ามากขึ้น กลุ่มความงามของฝรั่งเศส L’Oréal ซึ่งเป็นเจ้าของ Vichy ได้ตระหนักถึงความน่ากังวลนี้มาเนิ่นนานแล้ว ในปี พ.ศ. 2522 ลอรีอัลเริ่มที่จะใช้ผิวหนังมนุษย์ที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อการทดสอบความปลอดภัยในหลอดทดลอง เป้าหมายเพื่อการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากความโหดร้ายทารุณต่อสัตว์ ตอบสนองมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยแบรนด์นี้ได้ยกเลิกการทดสอบกับสัตว์ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปโดยสิ้นเชิงในปี 1989 และสำหรับในส่วนผสมเครื่องสำอางเพิ่งดำเนินการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากวิชี่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งห้ามของยุโรปในการทดสอบกับสัตว์ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2547 ทั้งนี้กลุ่ม L’Oréal ยังได้ดำเนินการเพื่อปกป้องการนำวิธีการทดสอบอื่นมาใช้ในประเทศจีนด้วย ถึงแม้กฎหมายจีนจะกำหนดให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการทดสอบกับสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัลได้พยายามส่งเสริมวิธีการทดสอบในแบบอื่นๆ ในการทำงานร่วมกับทางการจีน และแน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญก็คือการยกเลิกการทดสอบใดๆ ในสัตว์นั่นเอง สูตรและแพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจในความยั่งยืนและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของสูตร วิชี่ประสบความสำเร็จในการรับรองอัตราการย่อยสลายทางชีวภาพโดยเฉลี่ย 91% สำหรับสูตรล้างออก ซึ่งรวมถึงแชมพูและเจลอาบน้ำ เป้าหมายสุดท้ายคือการจำกัดผลกระทบต่อสัตว์น้ำ โดยใช้ส่วนผสมที่ย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะสะสมในที่อยู่อาศัยของพวกมัน รวมถึงการกำจัดจุลินทรีย์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากสิ่งตกค้างและจุลินทรีย์ต่างๆ อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับสัตว์น้ำนั่นเอง และถึงแม้ว่าเรื่องของแพ็กเกจจิ้งจะยังคงหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกไม่ได้ แต่วิชี่ยังคงพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการใช้พลาสติกรีไซเคิล 25% ในการผลิตหลอด Vichy Dercos Aminexil ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก่อนจะขยายไลน์มาที่แพ็กเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายด้วย ทำให้วิชี่สามารถประหยัดพลาสติกได้ถึง 22 ตันภายในปีเดียว ด้วยการลดการใช้พลาสติกต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งชิ้น ลงเพียง 2 กรัมเท่านั้น ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ยังคงใช้กล่องกระดาษอยู่ วิชี่ใช้กระดาษแข็งที่ได้รับการรับรอง FSC® 100% จากแหล่งที่มาที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน และนี่คือการยืนหยัดเพื่อความยั่งยืนในแบบของวิชี่ ที่ยังคงย้ำและตระหนักถึงความต้องการที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอันมีค่าของโลกสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก https://blog.caretobeauty.com/vichy-sustainability-animal-testing/ https://vichy-th.com/thebrand/mineral-water https://vichy-th.com/thebrand/origins
Editor
30 April 2021
Food & DrinksLifestyle

FOOD & DRINKS
เครื่องดื่มเรียกความสดชื่น

ว่ากันว่าความสุขนั้นหาไม่ยากอย่างที่คิด การได้รับประทานอาหารอร่อยๆ ได้พักผ่อนเต็มที่หลังจากทำงานมาทั้งวัน หรือจริงๆ เพียงแค่ได้ละเลียดจิบเครื่องดื่มสดชื่นสักแก้ว ท่ามกลางอากาศร้อนอ่อนระโหยของเดือนเมษา ก็นับว่าดีต่อใจและกายยิ่งนักแล้ว เมื่อร่างกายของเราสูญเสียน้ำจากการขับเหงื่อมากเข้าก็จะทำการส่งสัญญาณออกมา จับใจความสั้นๆ ได้ว่า “คอแห้งแล้วนะ” จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหาเครื่องดื่มดับกระหายคลายร้อน มาคืนความสดชื่นให้กับร่างกายกันสักหน่อย และ Power ก็ไม่พลาด ที่จะมาแนะนำเครื่องดื่มชื่นใจให้คุณผ่อนคลายในวันที่ร้อนจนไม่ไหวจะเพลียแบบนี้ กาแฟ กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยมอันดับสองของโลกรองจากน้ำเปล่า สิ่งที่หลายคนขาดไม่ได้ในทุกๆ วัน ครั้งหนึ่งกาแฟถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเช้าวันใหม่ เพราะฤทธิ์ของคาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น และตื่นตัว แต่ทุกวันนี้กาแฟไม่ได้ถูกจำกัดช่วงเวลาการดื่มอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าตอนไหนก็เป็น Coffee O’clock ได้ทั้งนั้น รวมไปถึงยังมีการพัฒนาสูตรต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้กาแฟกลายเป็นหนึ่งใน “น้ำสดชื่น” ที่มาพร้อมกับไลฟ์สไตล์สุดเก๋ก็ว่าได้ อย่างที่บอกว่าเครื่องดื่มอารมณ์เข้มๆ อย่างกาแฟสามารถต่อยอดสูตร นำไปจับคู่กับส่วนผสมอื่นๆ ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กาแฟอัญชันมะนาว ที่ให้ทั้งความสดชื่นพร้อมกับประโยชน์มากมาย เนื่องจากมะนาวสามารถลดอาการวิงเวียนหรือปวดศีรษะ ในขณะที่อัญชันมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้นั่นเอง รวมไปถึงยังสามารถเพิ่มอรรถรสด้วยซินนามอน หรือ อบเชย ที่ทั้งหอมแถมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองได้ดี นอกจากนั้น หลายคนยังนิยมนำกาแฟไปผสมกับ ยูสุไซรัป หรือ น้ำมะพร้าว อาจจะเพิ่มความซ่าด้วยโทนิกตามแต่สูตรและการประยุกต์เฉพาะตัว ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของความสดชื่นในหน้าร้อน แถมยังช่วยบูสต์เอเนอร์จียามบ่าย หลังจากเพิ่งรับประทานข้าวเที่ยงมาหมาดๆ ให้พร้อมลุยงานแบบแรงไม่มีตกได้อีกด้วย ชา ถ้าโลกนี้มีกาแฟ ก็ต้องมีชา เครื่องดื่มที่อยู่เคียงคู่มนุษยชาติมายาวนานหลายพันปี โดยปัจจุบันมีชาหลากชนิดหลายรสชาติ ผ่านกรรมวิธีการปรุงต่างๆ ให้เลือกดื่มกันอย่างมากมาย และนอกจากความโดดเด่นในเรื่องกลิ่นหรือรสชาติแล้ว วัฒนธรรมของการดื่มชาก็ยังมีเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนหลงใหลไม่แพ้กัน ชาเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทุกฤดูกาล ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าร้อนแบบนี้ สำหรับใครที่ชอบดื่มชาร้อนรับรองว่าไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน เพราะชาร้อนมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และลดความเครียดได้ ซึ่งนอกจากประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว การได้นั่งจิบชายามบ่ายที่เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมที่เข้ากันในบรรยากาศดีๆ ยังมีส่วนช่วยผ่อนคลายอารมณ์ รวมไปถึงทำให้จิตใจสงบลงได้อีกด้วย น้ำหมักผักและผลไม้ Infused Water หรือ น้ำหมักผักและผลไม้ ถือเป็นเทรนด์เครื่องดื่มที่คนรักสุขภาพนิยมกันเป็นอย่างมาก เพราะทำได้ง่าย มีประโยชน์ แถมยังสามารถดื่มคลายร้อนให้ความสดชื่นได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวอ้วน หลักการก็คือนำผัก ผลไม้ หรือสมุนไพรที่ต้องการ 2 – 3 อย่าง มาหั่นเป็นชิ้นแล้วใส่ลงไปในน้ำเปล่า น้ำแร่ หรือ Sparkling Water จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นหมักไว้ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพียงเท่านี้ก็พร้อมดื่ม แน่นอนว่าสิ่งที่จะได้มาพร้อมกับความสดชื่นก็คือ สรรพคุณของผักผลไม้ที่ใส่ลงไป อย่างถ้าใส่ผลไม้จำพวกแอปเปิล ส้ม หรือแคนตาลูป ก็จะให้รสชาติที่หอมหวานดื่มง่าย แถมด้วยประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนถ้าใส่สตรอว์เบอร์รี สับปะรด ก็จะได้รสชาติอารมณ์แบบทรอปิคัลสไตล์ ในขณะที่พืชผักอย่างแตงกวา เซเลอรี จะให้ความรู้สึกชุ่มชื่นดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี หรือใครที่ไม่กลัวรสชาติจากสมุนไพร สามารถลองขยับเลเวลใส่ใบสะระแหน่ ใบโรสแมรี ขิง หรืออบเชยแท่ง แซมๆ ลงไปกับผลไม้ด้วยก็ได้ ที่สำคัญอย่าลืมใส่ใจเรื่องความสะอาดในทุกวัตถุดิบทุกขั้นตอนให้ดีคิง เพาเวอร์ พร้อมเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่มสดชื่นคลายร้อนในบรรยากาศสุดพิเศษหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็น Other Café คาเฟ่สไตล์มินิมัลที่โดดเด่นทั้งการตกแต่งและเครื่องดื่มซิกเนเจอร์สูตรพิเศษ รวมไปถึงเซ็ตน้ำชายามบ่ายที่ The Junction โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ พร้อมทั้งโปรโมชั่นดีๆ เพื่อคุณตลอดหน้าร้อนนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Kingpowerofficial/ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก https://www.westernhealth.com/
Editor
29 April 2021
Lifestyle

Lifestyle
ผ่อนคลายในช่วงกักตัวด้วย โสตบำบัด
ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนโสด

เคยฟังเสียงประหลาดๆ อะไรแล้วรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกไหม? เสียงที่ว่าประหลาดในที่นี้ หมายถึงไม่ใช่เสียงที่ฟังเพื่อความบันเทิงจำพวกเสียงดนตรีอะไรแบบนั้น อย่างที่ผู้หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า เธอรู้สึกดีเวลาได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกัน เธอจึงแบ่งปันประสบการณ์ด้วยการอัปโหลดคลิปเสียงที่มีชื่อว่า “Whisper-1 hello!” บนยูทูบ และนั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาและพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Autonomous Sensory Meridian Response (ASMR) หรือ อาการตอบสนองต่อประสาทรับความรู้สึกอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในช่วงเวลากักตัวแบบนี้ แน่นอนว่าเมื่อการใช้เวลาอยู่กับบ้านให้มากที่สุดกลายเป็นเรื่องจำเป็น การหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ไม่ให้เกิดความเครียดจึงเป็นเรื่องที่ตามมา อันที่จริง ASMR ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนัก เพราะในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีการใช้ประโยชน์จาก ASMR กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะวงการโฆษณาที่มีการให้ความสำคัญกับ “เสียง” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปิดขวด เสียงซ่าของโซดา เสียงกลืนน้ำลาย หรือเสียงจอแจของถนนในชั่วโมงเร่งด่วนOddly IKEA ปี 2017 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA ได้ทำคลิปโฆษณาความยาวกว่า 25 นาทีออกมา ปรากฏว่าจากปกติที่คนเราเจอโฆษณาแค่ 5 วินาทีก็แทบจะรอกดข้ามไม่ไหว กลับสามารถที่จะนั่งดูหรือฟังไปได้เรื่อยๆ เกือบครึ่งชั่วโมงจนจบ ส่งผลให้ยอดขายของ IKEA ทั้งหน้าร้านและออนไลน์สูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ในวิดีโอจะพบกับการจัดห้องพร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่พูดขายของอย่างตรงไปตรงมา ในบรรยากาศและโทนสีที่สบายตา แต่ไฮไลต์จริงๆ อยู่ที่เสียงที่มีการอัดอย่างพิเศษ โดยเสียงบรรยายจะเป็นการพูดแบบมนุษย์พูดจริงๆ มีเสียงแหบเสียงหลงบ้าง ไม่ได้ชัดถ้อยชัดคำหรือมีน้ำเสียงแบบการลงเสียงโฆษณาตามปกติแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันเธอก็จะลูบไล้ สัมผัส ไปบนวัสดุต่างๆ และเสียงที่ได้ยินทำให้รู้สึกตามถึงสัมผัสของผ้าปูที่นอน ความนุ่มของผ้านวม ชั้นวางของ โคมไฟ ไปจนถึงไม้แขวนเสื้อกระทบราวในตู้ ไปตลอดทั้งวิดีโอ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนที่ได้ดูเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า “ใครจะไปคิดว่าเสียงพวกนี้จะทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้”     อะไรๆ ก็ “ทิพย์” นอกจากวงการโฆษณา ASMR ยังได้ถูกนำไปต่อยอดเพื่อจุดประสงค์ในการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด อันเกิดจากการกักตัวอยู่แต่กับบ้านในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดอย่างนี้ ในเมื่อออกไปไหนก็ไม่ได้ จะให้คุยกับเพื่อนผ่าน Zoom ทุกวันก็ไม่ไหว ยิ่งใครโสดก็ต้องมีเหงากันบ้างล่ะงานนี้ Erkam Şeker นักศึกษาปริญญาโทในมิวนิก จึงได้สร้างเว็บไซต์ Drive and Listen ขึ้นมา เพื่อจำลองภาพและเสียงที่สื่อถึง “การเดินทาง” คุณจะได้พบกับบรรยากาศท้องถนนของเมืองใหญ่ต่างๆ ในโลกถึง 38 ที่ ไม่ว่าจะเป็นอัมสเตอร์ดัม ปักกิ่ง โตเกียว เดลี โซล ซานฟรานซิสโก ปารีส ฮาวานา หรือแม่แต่อู่ฮั่น ผ่านกระจกหน้าของรถยนต์ พร้อมกับเสียงจากรถรา ผู้คน และบรรยากาศโดยรอบ รวมไปถึงสามารถเปิดฟังวิทยุท้องถิ่นของแต่ละที่ฟังได้อีกด้วย ซึ่งต้องบอกว่าเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละประเทศที่เห็นและได้ยินนั้น ได้อารมณ์ขับรถเที่ยวสุดๆ http://driveandlisten.herokuapp.com/ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนเราต้องปรับตัวกันยกใหญ่ ต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ส่วนอะไรที่เคยทำก็กลายเป็นทำไม่ได้ บางทีสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจเป็นแค่ “ความธรรมดา” อย่างที่มันเคยเป็นเท่านั้นเอง นั่นจึงทำให้ Volt เอเจนซี่จากสวีเดนได้นำ ASMR มาช่วยผ่อนคลายผู้คนผ่านเสียงของ “ซูเปอร์มาร์เก็ต” สมัยก่อนเราสามารถหาเสียงธรรมชาติอย่างฝน ลม หรือทะเล ฟังเพื่อผ่อนคลายได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปถึงที่จริง แต่ดูเหมือนตอนนี้ อย่าว่าแต่ไปเที่ยวไกลๆ เลย แค่ไปซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ก็ยากพอๆ กับไปน้ำตกไนแอการาเลยทีเดียว ทำให้ Lidl ซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีมากกว่า 12,000 สาขาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต้องการที่จะนำ Everyday Life นี้กลับคืนมาสู่ทุกคน ผ่านเสียงอันคุ้นเคยที่เคยคุ้น อย่างเสียงยิงบาร์โค้ด…
Editor
27 April 2021