Lifestyle

Lifestyle
เคล็ดลับในการดูแลนาฬิกาเรือนโปรด

เมื่อ ‘สุขอนามัย’ เป็นหัวใจสำคัญ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ผู้คนจึงหันมาให้ความสนใจในการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย ใช้เวลามากมายไปกับการล้างมือด้วยสบู่ พกสเปรย์หรือเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้เสมอ เสมือนเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสี่ (ถัดจากโทรศัพท์มือถือ) หมั่นกินร้อนช้อนกลางไม่ได้ขาด และปฏิบัติตามมาตรการระยะห่างทางสังคมอยู่เสมอ พูดง่ายๆ ว่าทำอะไรได้ เป็นต้องทำ เพื่อสุขอนามัยที่ดีในยามนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้คนอาจละเลยไปบ้างหรือไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก นั่นก็คือการดูแลรักษาความสะอาดนาฬิกา อย่าลืมว่าแม้นาฬิกาอาจไม่ได้ไปสัมผัสสิ่งใดๆ โดยตรง แต่ก็ล้วนเผชิญหน้ากับความสกปรกมาด้วยเช่นกัน และต่อไปนี้ คือคำแนะสำหรับการดูแลนาฬิกาเรือนโปรดของคุณ ให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค และสามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน อยากให้นาฬิกาดูใหม่อยู่เสมอ ง่ายมาก นั่นก็คือหมั่นทำความสะอาดหลังใช้งานทุกครั้ง แต่จะทำความสะอาดอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับสายของนาฬิกา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีทั้งสายหนังและสายโลหะ ถ้าเป็น สายหนัง ไม่ควรโดนน้ำโดยเด็ดขาด เพราะอาจชำรุดและขึ้นราได้ง่าย ให้ใช้ผ้าแห้งสะอาดๆ เช็ดบริเวณสายก็เพียงพอ แต่สำหรับ สายโลหะ นั้น สามารถล้างทำความสะอาดได้เต็มที่มากกว่า ยิ่งถ้าสามารถถอดสายแยกจากตัวเรือนได้ ก็ควรถอด ระหว่างการล้างทำความสะอาด ให้ใช้แปรงขนนุ่มปัดฝุ่นตามซอกของนาฬิกาไปด้วย ส่วนตัวเรือนให้หาผ้าชามัวร์แห้งเช็ดโดยรอบ เป็นอันจบขั้นตอน การดูแลนาฬิกาสายหนังและสายโลหะ แนะนำว่า นาฬิกาทุกเรือนควรจัดเก็บลงกล่องใส่นาฬิกาอยู่เสมอ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน และควรหลีกเลี่ยงการจัดเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิร้อน เพราะจะทำให้นาฬิกาและสายหนังเสื่อมสภาพได้ สำหรับนาฬิกาสายหนัง หากไม่ได้ใส่เป็นประจำ ควรนำออกมาผึ่งลมให้โดนอากาศบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และไม่ลืมที่จะนวดสายหนังอย่างเบามือ เพื่อช่วยยืดอายุหนังและป้องกันการเสื่อมสภาพ ส่วนนาฬิกาสายโลหะ ควรใส่ไว้ในกล่องพร้อมหมอนรองนาฬิกา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้น จากการที่สายนาฬิกาไปกระทบเข้ากับฝาหลังของนาฬิกานั่นเอง สำหรับคนที่มีเหงื่อมาก ควรผึ่งนาฬิกาไว้สักพักก่อนจัดเก็บลงกล่อง แต่ถ้าไม่มีกล่องเก็บนาฬิกา ตำแหน่งที่เก็บนาฬิกาได้ดีที่สุดคือ ให้หันหัวนาฬิกาขึ้น ห้ามคว่ำหน้าหรือวางตำแหน่งเม็ดมะยมไว้ด้านล่าง จะช่วยรักษากลไกของนาฬิกาให้เสถียรได้ และที่สำคัญไม่ควรวางนาฬิกาไว้ใกล้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากคลื่นกระแสแม่เหล็กอาจทำให้นาฬิกาเดินช้าหรือไม่เที่ยงตรงได้ ควรถอดนาฬิกาก่อนล้างมือหรืออาบน้ำ ก่อนล้างมือ อาบน้ำ หรือทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์นั้น ควรถอดนาฬิกาออกก่อน เพราะอาจทำให้คราบต่างๆ เข้าไปฝังอยู่ในซอกมุมของนาฬิกาได้ และควรสวมใส่เครื่องนาฬิกาหลังจากทาครีมหรือฉีดน้ำหอมเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่นาฬิกาขณะว่ายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำในสระหรือน้ำทะเล เพราะคลอรีนและโซเดียมจะทำให้นาฬิกาที่เป็นไวท์โกลด์ เยลโลว์โกลด์ พิงค์โกลด์ หรือแพลทินัม ทำปฏิกิริยากับสารเคมีเหล่านั้นจนเกิดเป็นคราบสีดำ อีกทั้งทองอาจจะหลุดจากตัวเรือนด้วย การทำความสะอาดนาฬิกาที่ใส่ในทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่น คราบ และเชื้อโรคต่างๆ แนะนำให้ทำความสะอาดนาฬิกาที่ใส่เป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง สำหรับนาฬิกาที่เป็นไวท์โกลด์ เยลโลว์โกลด์ หรือพิงค์โกลด์ สามารถทำความสะอาดด้วยการใช้แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษที่มีขนาดหัวเล็ก ขัดเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่นและคราบโลชั่น โดยใช้น้ำอุ่นผสมกับน้ำยาล้างจาน ล้างในรอบแรก จากนั้นตามด้วยน้ำอุณหภูมิปกติอีกครั้ง ข้อควรระวัง อย่าให้เจลแอลกอฮอล์หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือโดนนาฬิกาเป็นดีที่สุด และการเก็บนาฬิกา ควรเก็บแยกเรือนแยกกล่อง เพราะการเก็บรวมเข้าไว้ด้วยกัน อาจทำให้นาฬิกาเกิดการกระทบกระแทกกัน ทำให้นาฬิกาเกิดความเสียหายหรือเป็นรอยได้ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.rolex.com www.cartier.com www.omegawatches.com www.gqthailand.com
Editor
24 March 2021
Lifestyle

Lifestyle
ทำความรู้จักกับ 2 สเก็ตเตอร์
ชาวไทยผู้เชื่อว่าสเก็ตยังมีทางไปเสมอ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมที่มีต่อกีฬาเซิร์ฟสเก็ตในปัจจุบันได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์สำคัญของบ้านเรา ที่ไม่ว่าใครต่างก็หันมาไถสเก็ตคู่ใจโดยไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศหรือวัย ซึ่งหากมองย้อนกลับไปจริงๆ แล้ว สเก็ตบอร์ดหรือแม้แต่เซิร์ฟสเก็ตก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหม่เท่าไรนัก ทว่าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่มาบรรจบกัน จึงทำให้เกิดเป็นกระแสที่น่าจับตามองที่สุดอย่างหนึ่งในขณะนี้ ในอดีตกลุ่มคนที่เล่นสเก็ตหรือที่เรียกกันติดปากว่า “เด็กบอร์ด” มักถูกมองว่าเป็นเพียงวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆ ที่มารวมตัวกัน และยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ในปัจจุบันพัฒนาการของสเก็ตบอร์ดได้เดินทางมาไกลเกินกว่าความชอบหรือกีฬา จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนไปแล้ว วันนี้ Power ได้มีโอกาสพูดคุยกับสองนักสเก็ตมืออาชีพ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการสเก็ตมานาน โดยตอนนี้ทั้งคู่ใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์ มาช่วยสอนและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในกีฬาเซิร์ฟสเก็ต ที่ลานสเก็ต คิง เพาเวอร์ ศรีวารี จุดนัดพบแห่งใหม่ย่านบางนา-ลาดกระบัง กันแบบฟรีๆ ถึงวันที่ 11 เมษายน 2564 อีกด้วย เราเลยถือโอกาสชวน “เด็กบอร์ด” รุ่นโอลด์สคูล พูดถึงที่มาที่ไป รวมถึงมุมมองที่มีต่อเซิร์ฟสเก็ตกับเด็กรุ่นใหม่ “ตอนเด็กๆ เห็นพี่ชายซื้อสเก็ตบอร์ดมาเล่น เลยลองเล่นบ้าง จากนั้นก็เล่นมาโดยตลอด เรียกว่าพี่ชายเป็นแรงบันดาลใจ ให้ได้มารู้จักกับสเก็ตก็ว่าได้” - ไรอั้น-ปฐมพัฒน์ ศรีแป๊ะสัจจา - โปรไรอั้น-ปฐมพัฒน์ ศรีแป๊ะสัจจา เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการเล่นสเก็ต โดยเจ้าตัวบอกว่าเล่นมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สตรีตสเก็ตบอร์ด สกิมบอร์ด และเซิร์ฟสเก็ตที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่งหากเอ่ยถึงชื่อของไรอั้น เชื่อว่าคนในวงการสเก็ตบ้านเราไม่มีใครไม่รู้จักเขาอย่างแน่นอน เพราะโปรไรอั้นผ่านเวทีการแข่งขันมาแล้วมากมายหลายรายการ รวมไปถึงการเป็นนักกีฬาทีมชาติตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันบนเวทีกีฬาเอ็กซ์ตรีมระดับเอเชีย หรือ  X Games Asia ที่เขาคว้าอันดับที่ 7 ของเอเชียมาครอง หากพูดถึงกระแสความนิยมของสเก็ตบอร์ดและเซิร์ฟสเก็ตในบ้านเรา โปรไรอั้นบอกว่า “จริงๆ สเก็ตไม่เคยหายไปไหนเลย มีคนเล่นกันอยู่ตลอด เวลามีงานแข่งหรืออีเวนต์ต่างๆ เราจะเห็นคนเป็นพันๆ มารวมตัวกันทุกครั้ง อย่างวันที่ 21 มิถุนายน ของทุกปี จะเป็นวันสเก็ตบอร์ดโลก (Go Skateboarding Day) ประเทศไทยเราเองก็จัดงานมาโดยตลอด และเชื่อว่าปีนี้จะต้องยิ่งใหญ่มากกว่าปีก่อนๆ แน่นอน ยิ่งคนเล่นเยอะๆ ยิ่งดีใจที่มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สมัยก่อนอาจจะโดนมองโดนแซวบ้าง แต่ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว” สำหรับเซิร์ฟสเก็ตนั้นถือได้ว่าเป็นกีฬาที่เล่นได้ทั้งครอบครัว อย่างคนที่มาเรียนกับโปรไรอั้น อายุน้อยสุดแค่ 5 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่โตสุดก็อายุ 54 ปี เลยทีเดียว บางคนที่ไม่มีพื้นฐานสเก็ตมาก่อนแต่เป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำนั้น เร็วสุดก็สามารถเล่นเป็นภายใน 2 ชั่วโมงเลย เพราะเซิร์ฟสเก็ตเป็นกิจกรรมที่ต้องการความแข็งแรงและการทรงตัวที่ดีในการเล่นนั่นเอง ในฐานะครูสอนสเก็ต โปรไรอั้นจะพยายามเน้นให้นักเรียนโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่ตัวเองกำลังทำมากที่สุด ซึ่งตรงนี้เองถือเป็นเคล็ดลับที่จะทำให้เล่นสเก็ตได้ดีและปลอดภัย เพราะจากประสบการณ์ในวงการกว่า 20 ปี อุบัติเหตุที่เจ็บหนักที่สุดที่เคยเกิดขึ้นคือ ข้อเท้าพลิก อาจจะมองว่าไม่ร้ายแรงมากแต่นั่นก็ทำให้ต้องพักไปนานหลายเดือนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญ เจ็บแล้วเล่นสเก็ตไม่สนุก สุดท้ายโปรไรอั้นอยากฝากถึงเยาวชนหรือผู้ที่สนใจในกีฬาสเก็ตว่า ควรเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ถูกต้อง เหมือนกับการเรียนที่ต้องค่อยๆ พัฒนาไปทีละขั้น ตอนนี้ยังไม่เก่งก็ไม่เป็นไร ส่วนการล้มนั้นมีอยู่แล้ว แผลเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต้องเจ็บหมด ไม่มีใครเลยที่เล่นแล้วไม่ล้ม ขอแค่ต้องล้มให้เป็น ติดตามโปรไรอั้นได้ที่ https://www.facebook.com/Ryan-Surf-Skate-102846008219602/ “ทุกๆ สกิลใหม่ที่ทำได้คือความภูมิใจของตัวเอง ชอบโมเมนต์นั้นของตัวเองที่สุด” - พีน-ภาคิน อังศุวัฒกกุล - “ทุกๆ สกิลใหม่ที่ทำได้คือความภูมิใจของตัวเอง ชอบโมเมนต์นั้นของตัวเองที่สุด” - พีน-ภาคิน อังศุวัฒกกุล - เป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว นับจากวันที่ พีน-ภาคิน อังศุวัฒกกุล มีโอกาสเข้าไปเล่นสเก็ตบอร์ดที่ลานในสวนรมณีนาถตอนอยู่ชั้น ป.…
Editor
19 March 2021
Lifestyle

Lifestyle:
One-Day Trip
เที่ยวครบจบในวันเดียว
ที่ KING POWER
SHOP & HOP WEEKEND MARKET

ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปมันส์ กินฟิน เช็คอินได้! ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปมันส์ กินฟิน เช็คอินได้! วันหยุดสุดสัปดาห์ ถือเป็นช่วงเวลาทองแห่งการพักผ่อน หลังจากที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ต้องกรำงานหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งหลายๆ คนก็คงจะมีแพลนกันไว้บ้างแล้วว่าจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดสั้นๆ นี้กันอย่างไร ซึ่งจะว่าไปเอาเข้าจริงแล้วจะให้มัวแต่นอนๆ กินๆ อุดอู้อยู่แต่ในบ้านสลับกับดูซีรีส์ ก็ดูจะไร้เอเนอร์จีไปสักหน่อย ใช่แล้ว นี่มันหน้าร้อนเลยนะ อากาศดีๆ ฟ้าสวยใสๆ รอเราอยู่ (ที่อุณหภูมิ 37.5 องศา) และคงจะดีไม่น้อยหากที่ที่เราจะไปนั้น มีทั้งของกินอร่อยๆ มีกิจกรรมเอาต์ดอร์ที่ได้บรรยากาศแบบหน้าร้อน มีห้องแอร์เย็นๆ ให้พักร่างสักนิด ก่อนจะเดินช้อปปิ้งสินค้าในราคาพิเศษ โดยทั้งหมดสามารถทำได้ภายในวันเดียวอีกด้วย เสาร์-อาทิตย์นี้ หากใครกำลังมองหาที่แฮงเอาต์ชิลๆ ลองแวะมาเดินเล่นที่งาน KING POWER SHOP & HOP WEEKEND MARKET ไม่มีไฟลต์บินก็ช้อปมันส์ กินฟิน เช็คอินได้! ก็น่าสนใจไม่เบา เพราะนี่คือการกลับมาในรูปแบบใหม่ของ คิง เพาเวอร์ ศรีวารี ที่เปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ให้ได้เพลิดเพลินกันแบบลืมเหนื่อย เรียกได้ว่าทั้งช้อปและฮ้อปในที่เดียวคิง เพาเวอร์ ศรีวารี อยู่ที่ไหน? คิง เพาเวอร์ ศรีวารี ตั้งอยู่ย่านบางนา-ลาดกระบัง เมื่อปักหมุดใน Google Maps จะมี 2 เส้นทางให้เลือกตามความสะดวก เส้นทางที่ 1 วิ่งถนนลาดกระบัง เลี้ยวเข้าถนนวัดศรีวารีน้อย และ เส้นทางที่ 2 วิ่งถนนบางนา-ตราด กม.18 (มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ) แล้วเลี้ยวเข้าถนนวัดศรีวารีน้อยเช่นกัน ซึ่งเราสะดวกเส้นทางที่ 2 ขับไปตามแมปไม่ถึงชั่วโมงก็ถึง คิง เพาเวอร์ ศรีวารี อันเป็นจุดหมายปลายทางราวๆ 11 โมงเช้า ซึ่งงานเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้า ดูจากจำนวนรถที่ลานจอดก็สัมผัสได้ถึงความคึกคักขึ้นมาทันที พิกัด GPS: https://goo.gl/maps/5fMa4k6WaaiPq7DL9Welcome to King Power Srivaree จากที่จอดรถจะมีบริการรถรับ-ส่ง ที่จะพาเราไปส่งถึงหน้าประตูทางเข้าห้างฯ ซึ่งจะมีทางเข้า 2 ทางคือ ทางเข้าด้านหน้า และทางเข้าด้านข้าง สำหรับใครที่ยังไม่ได้กินมื้อเช้ามา ประตูด้านข้างคือทางเลือกสำหรับคุณ เพราะเพียงคุณก้าวขาลงจากรถ อาหารอร่อยมากมายก็แทบจะมากองอยู่ตรงหน้า แต่ด้วยความที่เราอิ่มหนำยามเช้ากันมาแล้ว เลยขอไปลงที่ประตูทางเข้าด้านหน้า หมายมั่นกับภารกิจแรกของวันด้วยการวอร์มอัพเบาๆ ไปกับการช้อปปิ้ง! ที่บอกได้เลยว่าละลานตาไปด้วยสินค้าราคาพิเศษ ที่สุดแสนจะครบครันและคุ้มค่า เพียงก้าวเท้าเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของการช้อปปิ้งที่แสนคิดถึง โดยจะมีจุดลงทะเบียนสำหรับสมาชิก คิง เพาเวอร์ เพื่อรับคูปองส่วนลดมูลค่ารวมถึง 7,000 บาท* ส่วนคนที่ยังไม่เป็นสมาชิกก็สามารถสมัครได้ฟรีและรับสิทธิ์ได้เลยเหมือนกัน ว่าแล้วก็เริ่มช้อปได้! บอกเลยว่าโซนนี้ทำเลือดลมสูบฉีดไม่เบา เพราะถนนหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนม ทั้งแว่นตา นาฬิกา น้ำหอม รวมแล้วกว่า 10,000 รายการ ที่จัดเต็มมาพร้อมโปรโมชั่นลดสูงสุด 30%* นอกจากนั้น ภายในงานยังมีร้านค้าดังจากโลกโซเชียลและวิสาหกิจชุมชนมาร่วมออกร้านจำหน่ายสินค้าอีกด้วย เรียกได้ว่าช้อปเพลินเดินไปเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว สมาชิก คิง เพาเวอร์ ลงทะเบียนเพื่อรับคูปองส่วนลด คลิก http://bit.ly/3bjuSX0 ยังไม่เป็น สมัครสมาชิก ฟรี! รับสิทธิ์ส่วนลดได้ทันที คลิก https://bit.ly/2CbBN73ไม่มีอะไรจะมาหยุดเราได้นอกจากความหิว นักจิตวิทยากล่าวว่า เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความท้าทาย ในขณะที่เราก็มีทักษะที่สูงพอจะรับมือ เมื่อนั้นเราจะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Flow…
Editor
18 March 2021
Food & DrinksLifestyle

FOOD & DRINKS
อร่อยชื่นใจกับเมนูคลายร้อน

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะเป็นเมืองร้อน (มาก) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสามเดือนต่อจากนี้คือช่วงเวลาทองของการออกไปข้างนอก สนุกสนานไปกับสีสันของชีวิต รวมไปถึงการลิ้มลองรสชาติแห่งคิมหันตฤดูอันเป็นเอกลักษณ์ จากเมนูอาหารที่ไม่เพียงอร่อยชื่นใจคลายร้อน แต่ยังช่วยปรับสมดุลร่างกายจากภายในทำให้รู้สึกสบายเนื้อตัวอีกด้วย อาหารคลายร้อนนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของหวานหรือเสิร์ฟมาแบบเย็นๆ เสมอไป เพราะอาหารคาว รสจัด และอุ่นร้อนหลายชนิด กลับมีสรรพคุณเย็นที่ช่วยให้ร่างกายเย็นและสดชื่นได้ หลักการง่ายๆ เบื้องต้นก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ เพื่อคงความชุ่มชื้นให้กับร่างกายที่ต้องเสียเหงื่อ อาหารย่อยง่ายต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายไม่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมากจนเกินไป รวมถึงอาหารสรรพคุณเย็นต่างๆ นั่นเอง Power จะพาไปทำความรู้จักกับอาหารและเมนูดับร้อน ที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ พร้อมต้อนรับอุณหภูมิร้อนชวนปรอทแตกที่กำลังมาเยือนในเร็ววันนี้ ข้าวแช่ หนึ่งในเมนูอาหารประจำฤดูร้อนที่ขาดไม่ได้ในบ้านเรา แต่เดิมเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมขอพรบูชาเทวดาของชาวมอญในช่วงสงกรานต์ จึงไม่แปลกที่จะมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยพิธีรีตองมากมายทั้งขั้นตอนการทำและการรับประทาน กระทั่งในเวลาต่อมากลายเป็นอาหารยอดนิยมของเจ้านายในวัง ก่อนจะแพร่หลายมาสู่ชาวบ้านในที่สุด กระแสข้าวแช่กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยสามารถหารับประทานได้ไม่ยากตามร้านอาหารไทยและภัตตาคารต่างๆ แม้จะนำเสนอสูตรที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนประกอบหลักที่เหมือนกันก็คือ ข้าวนึ่งอบเทียน น้ำลอยดอกมะลิ น้ำแข็ง และเครื่องเคียง ซึ่งเครื่องเคียงจะประกอบไปด้วย ลูกกะปิ ที่ทำจากปลาย่างผสมกับสมุนไพร ปั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดพอดีคำแล้วนำไปทอด หอมแดงยัดไส้ พริกหยวกสอดไส้ หมูหรือเนื้อฝอย ไชโป๊ผัดไข่ และผักสดอย่างแตงกวา มะม่วงดิบ หรือต้นหอมไว้รับประทานเพื่อตัดรส การรับประทานข้าวแช่ให้อร่อยนั้นมีขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรละเลย นั่นคือ ตักข้าวแต่พอประมาณให้เหลือพื้นที่สำหรับใส่น้ำลอยและน้ำแข็ง ไม่ตักเครื่องเคียงใส่ในจานข้าวเพราะจะทำให้ข้าวแฉะน้ำมัน รับประทานเครื่องเคียงก่อน จากนั้นค่อยตามด้วยข้าว และน้ำลอยหอมเย็นชื่นใจ เพียงเท่านี้ก็จะได้สัมผัสกับรสชาติแห่งฤดูร้อนแบบไทยๆ ที่ใครๆ ก็หลงรักอย่างแน่นอน ปลาแห้งแตงโม เมนูที่มีความเซอร์เรียลนิดๆ จะของหวานก็ไม่ใช่ของคาวก็ไม่เชิงนี้ ถือเป็นเมนูคลายร้อนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ พระเอกอยู่ที่สัญลักษณ์ประจำหน้าร้อนอย่างแตงโม ผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณมากจึงมีสรรพคุณเย็น รับประทานสดๆ ให้รสชาติหอมหวาน หรือจะไปปั่นเป็นน้ำแตงโมก็ชื่นใจ นอกจากนั้นยังมีประโยชน์เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากมีน้ำตาลและแคลอรี่ต่ำ สามารถป้องกันการสะสมของไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ในขณะที่ปลาแห้งนั้นหลายคนอาจจะคุ้นเคยมากกว่าเมื่อนำไปรับประทานกับข้าวเหนียวมูน หน้าร้อนนี้ต้องลองรับประทานกับแตงโมดูบ้างแล้ว โดยปลาแห้งนั้นสามารถทำเองได้ไม่ยาก ด้วยการนำปลาช่อนไปย่างจนแห้ง คัดเอาแต่เนื้อไปโขลก จากนั้นนำไปคั่วในกระทะไฟอ่อนกับหอมเจียว ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทรายแล้วพักให้หายร้อน ไฮไลต์อยู่ที่ตอนเสิร์ฟ โรยปลาแห้งลงบนแตงโมชิ้นพอดีคำที่นำไปแช่จนเย็นจัด รับรองว่าทั้งเก๋ทั้งอร่อยชื่นใจสุดๆ ยูสุ อีกหนึ่งวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสารพัดประโยชน์บวกกับกลิ่นหอมสดชื่นที่ไม่มีใครเหมือน ยูสุจึงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครัวทั่วโลก เจ้าผลไม้ที่อยู่ระหว่างเมเยอร์เลม่อนและส้มแมนดารินนี้ อาจจะไม่ได้รับบทนำในจานอาหารเสมอไป แต่ก็ไม่เคยบกพร่องในฐานะนักแสดงสมทบอย่างแน่นอน เพราะรสชาติเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งสีสันและน้ำมันที่ได้จากเปลือกนั้น สามารถสร้างความหลากหลายให้กับเมนูต่างๆ ได้ทั้งคาวหวาน ไปจนถึงเครื่องดื่มอย่างชา ซอฟต์ดริงก์ หรือค็อกเทล ยูสุนั้นมีวิตามินซีสูง อีกทั้งกรดซิตริกที่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สำหรับหน้าร้อนอย่างนี้ น้ำยูสุผสมน้ำผึ้งโซดาเย็นๆ สักแก้ว หรือแม้แต่ชาร้อนยูสุ จัดเป็นเครื่องดื่มที่ให้ทั้งความสดชื่นและบำรุงสุขภาพชั้นดีเลยทีเดียว นอกจากนั้น ยูสุยังนิยมนำไปทำเป็นเครื่องปรุงหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ซอส พริกเกลือยูสุ น้ำสลัดยูสุ มัสตาร์ด หรือน้ำส้มปรุงรสสำหรับข้าวซูชิ ไปจนถึงเสิร์ฟเป็นเครื่องเคียงกับอาหารจานหลัก อย่างครีมโฟมยูสุที่รับประทานคู่กับกับสเต็ก ยูสุพอนสึก็อร่อยเข้ากันกับปลาดิบและเนื้อวากิว หรือจะทำเป็นพูเร่ก็ช่วยเพิ่มรสชาติได้อย่างน่าประทับใจ เต้าหู้ เต้าหู้ อาหารมากประโยชน์ที่ทำมาจากถั่วเหลือง มีโปรตีนสูง ไขมันน้อย ย่อยง่ายไม่หนักท้อง จึงเหมาะแก่การรับประทานในหน้าร้อน เพราะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนักจนเกินไป โดยโปรตีนจากถั่วเหลืองนั้นนอกจากจะช่วยสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย ชาวญี่ปุ่นมักมีเต้าหู้เป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารอยู่เสมอไม่ว่าฤดูไหนๆ เพราะเต้าหู้สามารถรับประทานได้ทั้งแบบร้อนและเย็น อย่างเมนู Zaru Tofu เต้าหู้อ่อนที่เกิดจากการทิ้งน้ำนมถั่วเหลืองให้จับตัวเป็นก้อนบนกระจาดไม้ไผ่สาน ก็นิยมรับประทานในหน้าร้อนเพื่อความสดชื่น ในขณะที่บ้านเราแม้จะรับประทานเต้าหู้ไม่มากเท่าชาวญี่ปุ่นหรือชาวจีน แต่ความนิยมใน “น้ำเต้าหู้” นั้น ไม่เป็นสองรองใคร หรือจะดื่มเป็นเต้าหู้แบบเย็นก็อร่อยสดชื่นได้ทั้งวัน นอกจากนั้นยังมีการทำเป็นไอศกรีมน้ำเต้าหู้ และไอศกรีมโยเกิร์ต ที่รับประทานกับท็อปปิ้งต่างๆ ให้อารมณ์แบบขนมหวาน คลายร้อนได้แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย สมุนไพรต่างๆ อย่างที่บอกว่า “อาหารคลายร้อน” ไม่จำเป็นต้องหวานหรือเย็นเสมอไป…
Editor
12 March 2021
Lifestyle

Lifestyle
MAHANAKHON
For Cool Surfskater Boys + Chic Skater Girls

What you would see on almost anyone’s IG feed right now is inevitably something to do with surfskate. This is definitely the “IT” thing that everyone is talking about. It all started with actors and influencers posting pictures of themselves surfskating on social media. Before you know it, suddenly surfskating is everyone’s newfound love. FOMO or not, people start scrambling to own their board. But what exactly is surfskate? Surfskate is a combination of skateboard and surfing which rider glide on with the slight shift in weight of your body and carve your way without ever needing to push your foot on the ground to gain speed and direct the board. You need ample space to cruise, show off your skills, train the balance or tumble around. In the urban area, you tend to find surfskaters around car parks, big space lying underneath elevated expressways, public parks or even malls…
Editor
11 March 2021
Lifestyle

Travel in Style
Summery Bliss Magical Moments

PHOTOGRAPHY : COURTESY OF BRANDS ได้เวลาเผยผิวรับความสดชื่นของหน้าร้อน ด้วยแฟชั่นมิกซ์แอนด์แมทช์ แนวเอิร์ธโทนสบายตา ที่พร้อมจะทำให้ทุกการผจญภัย เต็มไปด้วยเอเนอร์จี  นาฬิกาข้อมือ จาก Omega ต่างหู จาก Burberry  แว่นตา จาก Chanel  เคสโทรศัพท์ จาก Chanel  รองเท้า จาก Gucci  หมวก จาก Prada  กระเป๋าหนัง จาก Burberry  จัมพ์สูท จาก  Burberry  SUMMERY BLISS MAGICAL MOMENTS นาฬิกาข้อมือ จาก Jaeger-Lecoultre  เครื่องประดับ จาก Balenciaga  แว่นตา จาก Bottegaveneta  กางเกงขายาว จาก Gucci  กระเป๋าสะพาย จาก  Bottegaveneta  เคสแอร์พอร์ต จาก Prada  เสื้อโปโล จาก Gucci  รองเท้า จาก Burberry 
Editor
9 March 2021
Lifestyle

Lifestyle:
การมาของ Dispo คือ The New Instagram หรือ The Anti-Instagram กันแน่

Dispo แอปใหม่ที่กำลังมาแรงทั้งในแวดวงหนุ่มสาวเจนเนอเรชัน Z และวงการ Tech ในตอนนี้ เป็นผลงานของ David Dobrik ยูทูบเบอร์ เจ้าของช่อง The Vlog Squad ในฐานะครีเอเตอร์เขาต้องการนำประสบการณ์ในยุคของการถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มกลับมาอีกครั้ง 10 ปีที่ผ่านมา Instagram ครองตลาด Photo App มาตลอดโดยไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาโค่นตำแหน่งแชมป์ไปได้เลย แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักวิจารณ์เห็นแวว Dispo แอปที่มีคนดาวน์โหลดอย่างท้วมท้นเป็นอันดับที่ 4 ของ App Store ด้วยคอนเซ็ปต์ง่ายๆ แต่ไม่เหมือนใครในชั่วโมงนี้นั่นเพราะ Dispo ไม่จำเป็นต้องแต่งรูปใดๆ ไม่มีฟิลเตอร์ ไม่มีสติ๊กเกอร์ ใส่ตัวหนังสือก็ไม่ได้ และที่สำคัญเราจะไม่สามารถเห็นรูปที่ถ่ายไว้จนกว่า Dispo จะ “ล้าง” รูปเสร็จตอน 9 โมงเช้าของวันถัดไป จุดประสงค์ของครีเอเตอร์ในการที่ไม่ให้เราได้แต่งรูปก็เพื่อที่จะให้เราได้สนุกสนานไปกับโมเมนต์นั้นๆ อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมัวพะวงวุ่นวายอยู่กับการแต่งรูป หลายคนก็เลยบอกว่า Dispo เป็นแอปที่แอนตี้ Instagram เพราะ Instagram ทำให้ทุกคนกลายเป็นตากล้องทั่วๆ ไป แต่ Dispo ทำให้เราเป็นตากล้องที่มีจุดมุ่งหมาย รูปของ Dispo จะออกมาได้ฟีลเรโทรที่มีความ Raw และความ Real David Dobrik บอกว่า เขาชอบบรรยากาศเวลาไปปาร์ตี้ตามบ้านเพื่อน แล้วในงานมักมีกล้อง Disposable แบบใช้แล้วทิ้ง กระจายไว้หลายๆ จุด พอทุกคนถ่ายรูปแล้วก็เฮฮากับปาร์ตี้ต่อ ไม่มีใครเสียเวลาเช็กรูปแล้วถ่ายใหม่ หรือนั่งแต่งรูปต่อจนกว่าจะได้รูปที่ตัวเองสวยหล่อถูกใจ รุ่งขึ้นหลังปาร์ตี้เลิกค่อยมาดูรูปสนุกๆ ที่อัดออกมา เซเลบอย่าง Gigi Hadid และ Cindy Bruna ก็มีความคิดในแนวเดียวกันนี้ โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่อย่าง Gigi Hadid เจ้าของ @gisposable บน Instagram ที่รวมรูปถ่ายจากกล้อง Disposable ของเธอเอาไว้ล้วนๆ เลยเป็นไอเดียที่ Power ชอบอยู่นะ เพราะเคยไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อน ที่ยกมือถือถ่ายรูปอยู่นั่น จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเลือกรูปแต่งรูปเพื่ออัปโหลดขึ้นโซเชียล ซึ่งบางทีคนเราก็สรรหาความสมบูรณ์แบบให้ภาพบนพื้นที่โซเชียลของเรามากเกินไป จนลืมความสนุกที่อยู่ตรงหน้าเราไปอย่างน่าเสียดาย Dispo อาจจะทำให้เราหงุดหงิดอยู่บ้างตรงที่ต้องรอคนมาเชิญเราเข้าแอป ซึ่งพักหลังๆ มานี้ มีแอปที่ออกมาแบบ Invite Only กันเยอะมาก รวมทั้ง Audio App ที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้อย่าง Clubhouse ด้วย เดิมที Dispo ก็ไม่ได้จำเป็นต้องมี Invite หรอกนะ แต่หลังจากที่ David Dobrik ออก Beta Version มาให้ทดลองฟีเจอร์ใหม่ ให้เราแชร์รูปใน Camera Rolls ได้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางแอปก็มีการกำหนดให้ต้องมีการ Invite ก่อน ถึงจะเข้าไปใช้แอปได้ Dispo มีแววจะไปได้ไกลอยู่ไม่น้อย เพราะได้เงินสนับสนุนจาก Alexis Ohanian ผู้ก่อตั้ง Reddit รวมทั้ง Venture Capital Firm ชื่อดังหลายบริษัท ไปจนถึงศิลปินอย่าง…
Editor
9 March 2021
Lifestyle

Lifestyle:
จากเรื่องจริงของพลังหญิงที่ขับเคลื่อนสังคม
สู่ภาพยนตร์ที่ครองหัวใจคนทั่วโลก

"วันเพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์ถึงความไม่เท่าเทียมของผู้หญิง" จากจุดเริ่มต้นของการลุกฮือของกรรมกรหญิงโรงงานทอผ้า ในสหรัฐอเมริกา ที่มาจากการถูกกดขี่ข่มเหง ใช้แรงงานเยี่ยงทาส จนนำไปสู่การเรียกร้องสิทธิ์ของเหล่ากรรมกรสตรีในโรงงานให้ได้รับความทัดเทียมกับแรงงานชาย รวมถึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็ก ตามมาซึ่งบทสรุปแห่งความสำเร็จหลังการต่อสู้อันยาวนาน ด้วยการได้รับการรับรองในข้อเรียกร้องอันเป็นธรรมจากที่ประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ณ เมืองโคเปนฮาเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 พร้อมผลักดันให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็น “วันเพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์ถึงความไม่เท่าเทียมของผู้หญิง” อันเป็นจุดเริ่มต้นของวันสตรีสากลในเวลาต่อมา วันสตรีสากล หรือ International Woman’s Day ในปีนี้ ครบรอบปีที่ 110 แล้ว เพื่อเป็นการระลึกถึงและให้ความสำคัญกับผู้หญิงทุกคนบนโลกที่มีต่อความสำเร็จในหลายๆ ภาคส่วน Power ขอหยิบยกบางเรื่องราวชีวิตของเหล่านักสู้หัวใจแกร่ง “ผู้หญิง” นักขับเคลื่อนสังคม ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการแสวงหาความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในตัวเอง ที่ทำอะไรได้มากกว่าที่ใครเคยขีดเส้นกำหนดไว้ ผ่านการบอกเล่าในรูปแบบของภาพยนตร์ Based on True Story ที่คว้ารางวัลมาแล้วนักต่อนักจนเป็นกระแสไปทั่วโลก ให้เราได้หาโอกาสไปทำความรู้จักพวกเธอเหล่านั้นกันอีกสักครั้ง “ฉันอยากให้คนฟังร้องไห้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ ที่ฉันร้องเลยก็ตาม” - Édith Piaf - “ฉันอยากให้คนฟังร้องไห้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจ ที่ฉันร้องเลยก็ตาม” - Édith Piaf - Édith Piaf จากภาพยนตร์เรื่อง La Vie En Rose (2007) “ฉันอยากให้คนฟังร้องไห้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจที่ฉันร้องเลยก็ตาม” - Édith Piaf ครั้งหนึ่งศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติฌอร์ฌ ปงปีดู หรือ (Centre Pompidou) ได้ทำการคัดเลือกผลงานโมเดิร์นอาร์ตที่สร้างขึ้นในฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี 1906 – 1977 ปีละหนึ่งชิ้นไปจัดแสดง ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่ปี 1945 ผลงานเพียงชิ้นเดียวในนิทรรศการที่ไม่ใช่ทัศนศิลป์ ทว่าเป็นเสียงเพลง La Vie En Rose ของศิลปิน Édith Piaf ที่เปิดคลออยู่เบาๆ โดยพวกเขาให้เหตุผลว่า ไม่มีผลงานศิลปะใดในปี 1945 ของฝรั่งเศสจะน่าจดจำไปกว่า Soundtrack ของปารีสเพลงนี้อีกแล้ว วัยเด็กของ Édith Piaf นั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างลำบาก แม่ทิ้งเธอไปตั้งแต่ยังเล็กนัก ส่วนพ่อต้องไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงฝากเธอไว้กับย่าที่ดูแลสถานบริการย่านนอร์มังดี เธอถูกเลี้ยงดูโดยหญิงขายบริการที่นั่น ตอนอายุ 3 ปี เธอมีอาการดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ จากภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก่อนจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากย่าและหญิงขายบริการที่เลี้ยงดูเธอพาเธอไปขอพรจาก Saint Therese de Lisieux ไม่กี่ปีหลังจากนั้น พ่อมารับเธอไปอยู่ด้วยกันในคณะละครเร่  ทั้งคู่ตระเวนแสดงไปทั่ว และที่ริมถนนในกรุงปารีสนั่นเองคือเวทีแรกที่เธอได้ร้องเพลงให้คนฟัง ชีวิตอันเข้มข้นของ Édith Piaf ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง La Vie En Rose นำแสดงโดย Marion Cotillard ทั้งการแปลงโฉมและการแสดงอันน่าอัศจรรย์ ทำให้เธอคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ในปีนั้น มีการแซวกันเล่นๆ ว่า เธอน่าจะได้ “เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม” เพิ่มอีกรางวัล เพราะใครที่ไหนจะเล่นเป็นคนอื่นได้ดีขนาดนั้น อันที่จริงเพลงรักอันโด่งดังเพลงนี้ ออกจะดูขัดกับคาแรกเตอร์ของ Édith Piaf…
Editor
8 March 2021
Lifestyle

Lifestyle:
เทรนด์คนรักสุขภาพ 2021

สถานการณ์ต่างๆ ทั้งฝุ่น PM 2.5 และโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างยิ่ง หากจะพูดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนตระหนัก และหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพความเป็นอยู่กันมากที่สุดในรอบหลายปีก็คงจะไม่ผิดนัก แน่นอนว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงยังคงเป็นนิยามพื้นฐานของการดูแลสุขภาพ ทว่าเทรนด์ที่มาแรงสุดๆ ในปีนี้ เห็นจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากมลพิษและเชื้อโรค ตลอดจนการมีสภาวะจิตที่ผ่อนคลายจากความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง ไม่รอช้า Power จะพาไปรู้จักกับเทรนด์สุขภาพที่น่าสนใจในปี 2021 นี้ Respiratory Wellness ฝุ่น PM 2.5 และ โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรงนั้น ทำให้เทรนด์ “คนรักปอด” มาแรงแซงทุกโค้ง ผู้คนเริ่มระมัดระวังในเรื่องของการสูดดมอะไรก็ตามที่มองไม่เห็นเข้าไปในร่างกายกันมากขึ้น การสวมหน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่จำเป็นต้องบอกกันอีกต่อไป ต้นไม้และเครื่องฟอกอากาศเป็นดั่งของขวัญแทนความรักความห่วงใยที่มีให้กัน รวมไปถึงพฤติกรรมการกินที่เน้นไปที่อาหารร้อนอย่างซุปหรือชามากขึ้น เพื่อเคลียร์คอให้โล่งและช่วยละลายเสมหะ การจิบน้ำอุ่นตลอดทั้งวันยังมีส่วนช่วยทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้น ช่วยลดโอกาสการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆ ถือเป็นวิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายที่ทำได้ไม่ยากและกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ Home Wellness ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาที่หลายคนต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น การล็อกดาวน์ทำให้เกิดการปรับตัวในหลากหลายมิติ บ้านแทบจะกลายเป็นศูนย์รวมทุกกิจกรรมไปโดยปริยาย ไม่เว้นแม้แต่การออกกำลังกาย ในวันที่การออกไปฟิตเนสกลายเป็นความเสี่ยง หรือการไปสวนสุขภาพที่เคยไปเป็นประจำ อาจทำให้ไม่รู้สึกปลอดภัยเหมือนเช่นเคย สายสุขภาพย่อมจะไม่ทนกับเรื่องนี้ ลู่วิ่งไม่ใช่ราวตากผ้าฉันใด การออกกำลังกายก็ไม่ใช่เรื่องยากฉันนั้น เราจึงได้เห็นบรรดาเครื่องออกกำลังกายที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน เทียบเท่าการไปฟิตเนส เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้สมจริงที่สุด แอปพลิเคชันฟิตเนสออนไลน์เร่งพัฒนา เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่กำลังเปลี่ยนไป มีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่าง Virtual Run ต่างๆ ให้เข้าร่วม มี Virtual Class เทรนเนอร์ส่วนตัวบนแพลตฟอร์มออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่า “บ้าน” ได้ยกระดับขึ้นมากกว่าการเป็นแค่ที่อยู่อาศัยไปแล้ว เพราะไม่เพียง ‘อยู่ได้’ เท่านั้น แต่จะต้อง ‘อยู่ได้ดี’ และมีส่วนช่วยทำให้ชีวิตปลอดภัยและยืนยาวอีกด้วย Emotional Wellness จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเราต่างได้รับผลกระทบทางอารมณ์กันถ้วนหน้า หลายคนต้องเผชิญกับความวิตกกังวล ต้องใช้ชีวิตบนความเครียดและความหวาดกลัว ซึ่งเมื่อสะสมมากเข้า ย่อมส่งผลต่อสุขภาพ ภูมิต้านทาน รวมไปถึงระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย อาจก่อให้เกิดความเจ็บป่วยที่รุนแรงอย่างโรคหัวใจหรือโรคซึมเศร้าได้ เทรนด์สุขภาพในปีนี้จึงมุ่งไปที่การแสวงหา “ความมั่นคงทางอารมณ์” ซึ่งในเบื้องต้นก็คือการตั้ง Mindset ไว้ก่อนว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอเพียงให้เราได้ลองสู้กับปัญหา พยายามทำความเข้าใจ เรียนรู้ และแสดงศักยภาพในตัวเองออกมา นอกจากนั้นเรื่องร้ายๆ ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวปลดล็อกพื้นที่ชีวิตของเราอีกด้วย เพราะในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เรามองเห็นว่า รอบๆ ตัวยังมีคนที่เรารัก ซึ่งถือเป็นกำลังของหัวใจที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงการเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ที่ทั้งสะดวกสบายและดีต่อใจ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่ให้คำปรึกษาด้านปัญหาสุขภาพจิต หรือการปรึกษาแพทย์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น อย่าลืมหาเวลาสปาอารมณ์ของตัวเอง ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายกันด้วย Intuitive Eating สูตรการกินเพื่อสุขภาพนั้นมีอยู่มากมาย ทว่าในช่วงเวลาของการกักตัวนี้ เทรนด์การกินอย่างหนึ่งได้กลับมาฮิตอีกครั้ง นั่นก็คือ Intuitive Eating หรือ “การกินได้ตามใจอยาก” ซึ่งฟังดูแล้วตรงข้ามกับการมีสุขภาพดีเหลือเกิน เพราะ Intuitive Eating กำลังบอกให้เราลืมเรื่องแคลอรี่ ตารางการกิน อาหารคลีน หรืออาหารขยะไปก่อน แล้วหันมาฟังเสียงของร่างกายตัวเอง การที่ร่างกายส่งสัญญาณว่าอยากกินอะไร อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายกำลังขาดสารอาหารประเภทนั้นอยู่ แน่นอนว่ามันไม่ได้โฟกัสไปที่การลดน้ำหนัก แต่เน้นในเรื่องของการมีสติ เรียนรู้ที่จะให้เกียรติความหิว นักโภชนาการที่ทำการวิจัยบอกว่า คุณสามารถกินอะไรก็ได้ที่อยากจะกิน จะกินตอนไหนก็ได้ ตราบใดที่คุณยังคงเงี่ยหูฟังร่างกายของคุณ โดยหลักการง่ายๆ สามารถสรุปได้ดังนี้ หิวก็กิน เพราะร่างกายและระบบทางชีววิทยาอยากให้คุณรับรู้ รวมถึงอยากให้คุณเชื่อด้วย อาหารขยะไม่ได้อร่อยและอาหารคลีนไม่ได้สูงส่งขนาดนั้น เลิกตัดสินพฤติกรรมการกินของตัวเอง อิ่มคืออิ่ม ไม่ต้องกินจนหมดก็ได้ (ข้อนี้ฟังดูง่ายแต่ไม่ง่าย) เคารพในร่างกายของตัวเอง อย่างที่คนเท้าใหญ่ไม่ใส่รองเท้าไซซ์เล็ก…
Editor
25 February 2021
Lifestyle

Lifestyle:
เมื่อความคิดสร้างสรรค์
มีส่วนช่วยทำให้ชีวิตปลอดภัย

หลายต่อหลายครั้งที่ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม บทเพลง บทกวี รวมถึงงานดีไซน์ต่างๆ สามารถเป็นกระบอกเสียงอันทรงพลังจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน โควิด-19 บังคับให้พวกเราใช้เวลาอยู่กับบ้าน หลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนให้ได้มากที่สุด ซึ่งทำให้เกิด “ผลข้างเคียง” ในเชิงบวกอย่างหนึ่ง นั่นคือมีคนมากมายต่างลุกขึ้นมาทำสิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ระหว่างการกักตัว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้สถานการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายนี้สิ้นสุดในเร็ววัน The Spoiler Billboard ในฐานะประชาชนทั่วไป แม้ไม่ใช่บุคลการทางการแพทย์ก็สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้เช่นกัน ทั้งจากการเว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หรือง่ายที่สุด ไม่ออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น แต่ขนาดว่าง่ายแล้ว หลายคนก็ยังละเลยอยู่ดี เพราะคิดแต่เพียงว่า แค่ออกไปเดินเล่นชิลๆ เองไม่เห็นเป็นอะไร ไวรัสหรือจะน่ากลัวเท่าจิตใจที่เหี่ยวเฉา นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ครีเอทีฟชาวไทย 2 คน ต้องใช้ยาแรงมาจัดการกับเรื่องนี้ แซนด์-ภัคณิชา กองเรืองกิจ และ เบรฟ–มติธร ประจวบเหมาะ ชัยมังคโล สองนักศึกษาจาก Miami Ad School เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อช่วงกลางปีที่แล้วพบว่าหลายคนยังไม่ตระหนักถึงการปฏิบัติตามมาตรการกักตัวอยู่บ้านมากเท่าที่ควร จึงเกิดไอเดียที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ โดยทั้งคู่มองว่ากลุ่มเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจะสื่อสารด้วยเป็นพิเศษนั้นคือหนุ่มสาวยุค Millennial เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีไลฟ์สไตล์และความคิดที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง ตลอดจนมีความเชื่อว่าร่างกายที่แข็งแรงกว่าเด็กเล็กๆ และผู้สูงอายุของพวกเขาจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตอย่างแน่นอน จากไอเดียเริ่มต้น ค่อยๆ พัฒนาต่อยอดจนกลายเป็น Spec Ads หรือ โฆษณาที่สร้างขึ้นเองโดยไม่ได้รับการว่าจ้างจากแบรนด์ ในกรณีนี้คือ เมื่อใดที่ก้าวออกจากบ้าน คุณจะเจอกับข้อความสปอยล์หนังและซีรีส์เรื่องดังของ NETFLIX อย่าง Stranger Things, Love is Blind, Narcos รวมถึง Kingdom ไม่กี่วันต่อมาแคมเปญสุดโหดร้ายนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก แพร่กระจายเร็วกว่าไวรัสโคโรนาเสียอีก หลายคนเชื่อจริงๆ ว่านี่เป็นโฆษณาของ NETFLIX จนกระทั่งทางแบรนด์ต้องออกมาชี้แจงว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันเป็นงานของนักศึกษากลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแซนด์และเบรฟก็ได้นำไอเดียนี้ไปขายกับทาง NETFLIX สิงคโปร์จริงๆ ด้วย เพียงแต่มันยังไม่ผ่าน เนื่องจากทาง NETFLIX ไม่มีนโยบายสปอยล์ซีรีส์ของตัวเอง อย่างไรก็ตามแซนด์และเบรฟยังคงเดินหน้าพัฒนาไอเดียนี้ต่อไป โดยลึกๆ แล้วเบรฟเชื่อว่า ถ้า NETFLIX กลับลำนโยบายหลักของแบรนด์ แล้วหันมา “สปอยล์เพื่อช่วยโลก” ผู้คนจะชื่นชมและให้การสนับสนุนมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน สุดท้ายทั้งคู่อยากขอโทษทุกคนที่ถูกผลงานของพวกเขาเฉลยตอนจบของซีรีส์ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจใครเลยจริงๆ Art of Quarantine แคมเปญนี้สร้างสรรค์ขึ้นโดย Looma ครีเอทีฟโปรดักชั่นเอเจนซี่แห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรมฯ แห่งยูเครน (Ministry of Culture and Information Policy of Ukraine) โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อย้ำเตือนให้ผู้คนตระหนักว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทุกวันนี้ Looma เชื่อว่า การใช้ชีวิตในช่วงการกักตัวเพื่อควบคุมโรคถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Art of Quarantine” ที่นำผลงานมาสเตอร์พีซระดับโลกมาปรับโฉมใหม่ เพื่อแนะนำวิธีที่จะช่วยหยุดการระบาดของโควิด-19 เพราะถึงแม้ว่าจะมีคำแนะนำหรือการรณรงค์ให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่ก็ดูเหมือนว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อที่จะเป็นจุดสนใจ เพื่อที่จะให้ง่ายต่อการจดจำ ศิลปะที่หลายคนคุ้นตาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ งานจิตรกรรมสุดคลาสสิกจากหลากหลายศิลปินหลากหลายยุคทั้ง 9 ภาพ ถูกนำมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ ฉาบเคลือบด้วยอารมณ์ขันบางๆ ให้เข้าถึงง่าย อย่างเช่น “SOCIAL DISTANCING” ซึ่งต้นฉบับเป็นผลงานของ Leonardo da Vinci จิตรกรเอกของโลกจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ที่มีชื่อว่า The…
Editor
15 February 2021