Exclusive InterviewFashionHighlightNumber 130

Exclusive Interview:
Extreme Traveller

By 9 October 2019 No Comments

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วง 10 กว่าปีมานี้ “เร แม๊คโดแนลด์”
คือหนึ่งในต้นแบบของเหล่านักเดินทางชาวไทย
ผู้หลงใหลในการท่องเที่ยวแบบสุดขีด

STORY: SURANGRAT KANBUBPHA

ไม่ว่าจะเป็นการบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ตะลุยไปยังเมืองต่างๆ เพื่อค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นตา รวมถึงความเป็นอยู่ของแต่ละชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละมุมโลก เหล่านี้ล้วนถูกนำเสนอผ่านรายการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบของเขา จนกลายเป็นภาพคุ้นชินที่เอ่ยถึงเรเมื่อไร เป็นต้องนึกถึงนักเดินทางผู้บ้าบิ่นที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างสุดตัว

ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายรายการท่องเที่ยวของเขาจะถูกจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มแอดเวนเจอร์ เพราะนอกจากความเพลิดเพลินในการติดตามชมแล้ว ยังมีความระทึกให้ได้ลุ้นกันเป็นระยะด้วย อย่างรายการ “Food Tribe ไป-ล่า-กิน” ที่เจ้าตัวถึงกับยอมรับว่าเป็นหนึ่งในรายการสุดโหดที่มีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้พบเจอในทุกการเดินทาง

“Food Tribe เป็นรายการที่เราจะไปอยู่กับชนเผ่าพึ่งพาตัวเองต่างๆ เป็นชนเผ่าที่ต้องออกไปล่าหากินกลางป่าเขา ใช้ชีวิตอยู่แบบรู้คุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง นับถือป่าเขาลำเนาไพร นับถือทะเลเป็นพระเจ้าที่ให้ชีวิต ซึ่งแตกต่างจากสังคมเมืองอย่างสิ้นเชิง จึงนับว่าเป็นรายการที่โหดอีกมิติหนึ่ง และแอดเวนเจอร์สุดๆ จนบางทีถึงกับถามตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่สุดท้ายก็รอดตายกลับมาได้ทุกครั้งนะ (หัวเราะ) อย่างครั้งที่ไปวานูอาตูก็พบเจออะไรเยอะ ไม่ว่าเพื่อนใหม่ หรือความหฤโหดของธรรมชาติ เพราะวานูอาตูเป็นหนึ่งในประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติต่างๆ มากที่สุด ด้วยตัวประเทศที่เป็นเกาะแก่ง มีภูเขาไฟล้อมรอบ แล้วเราดันไปช่วงที่เป็นฤดูไซโคลน จำได้ว่าช่วงที่นั่งเครื่องบินเล็กข้ามไปยังเกาะ ต้องฝ่าสายฝนเข้าไป แล้วประตูของเครื่องบินปิดไม่สนิทดี ฝนก็สาดใส่เท้าผมตลอด ตอนนั้นคิดในใจว่า นี่เครื่องบินหรือกระป๋องอะไรกันแน่ ตายแน่ๆ งานนี้ แต่สุดท้ายก็บินไปได้จนถึงเกาะ” นักเดินทางสายลุยเล่าติดตลก ก่อนจะสาธยายถึงประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวานูอาตู กับเหตุการณ์ที่ต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางพายุลูกใหญ่ จนการสื่อสารทุกช่องทางถูกตัดขาด แม้แต่การเดินทางก็ไม่สามารถสัญจรได้ด้วยวิธีอื่น นอกจาก 2 เท้าของตัวเอง

“เหมือนโดนลอยแพอยู่ท่ามกลางคลื่นขนาดใหญ่ น้ำทะเลหนุนสูงน้ำป่าไหลหลาก ติดต่อใครก็ไม่ได้ น่ากลัวมาก จนผ่านไป 2 วัน สถานการณ์เริ่มสงบ ก็พบว่าถนนถูกตัดขาดหมดเลย ต้องเดินจากบ้านที่เราพักไปถึงสนามบิน ประมาณ 7-8 กิโลเมตร แล้วทุกกิโลเมตรมีเส้นทางที่ถูกตัดขาดแบบวินาศ ต้องค่อยๆ ปีนลงปีนขึ้น ข้ามน้ำที่หลากแรงมาก จนถึงสนามบิน เขาบอกยกเลิกไฟลต์บินทั้งประเทศ 48 ชั่วโมง เราก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องติดอยู่ที่สนามบินซึ่งมีสภาพเหมือนปั๊มน้ำมันร้าง โชคดีเจอพี่เจ้าของร้านขายของชำแถวนั้น เลยขอไปนอนบ้านเขา พร้อมกับเหมาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ช็อกโกแลต เครื่องดื่มไปหมด จะได้ไม่หิวตายระหว่างที่รอ แต่เอาเข้าจริงๆ การติดอยู่ที่นั่นก็มีข้อดีนะ ทำให้เราได้เห็นความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของผู้คน เวลากลางคืนพอเราออกไปเตะบอลที่รันเวย์ ก็จะเห็นภูเขาไฟปะทุอยู่ทั้งทางซ้ายและทางขวา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับพวกเขา” 

เรเล่าถึงหนึ่งในเรื่องราวไม่ธรรมดาที่ได้พบเจอระหว่างทาง ซึ่งแน่นอนว่าประสบการณ์ครั้งนั้นไม่ได้จบลงแค่การกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่ยังถูกบอกต่อเล่าขานไปยังกลุ่มนักเดินทางรายอื่นๆ รวมถึงอีกหลายเรื่องราวที่เขาเคยได้พบเจอ และนอกจากความหฤโหดที่กลายมาเป็นเรื่องเล่าแสนสนุก มิตรไมตรีที่ได้รับจากเจ้าบ้านในทุกการเดินทาง ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาประทับใจจนไม่อาจลืมไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าบนเกาะเมนตาไวของอินโดนีเซีย ที่ต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นอย่างดี หรือชนเผ่าห่างไกลในพรมแดนมองโกเลีย-คาซัคสถาน ที่เลี้ยงดูปูเสื่อราวกับว่าเขาเป็นแขกคนสำคัญ จนทำให้อดที่จะระลึกถึงไม่ได้แม้จะผ่านมานานแล้วก็ตาม 

“การเดินทางไปเยือนชนเผ่าต่างๆ ทำให้ผมได้เรียนรู้ทั้งเรื่องวัฒนธรรมอาหาร และความสามารถในการเอาตัวรอดของพวกเขาที่สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้แบบนั้น ที่สำคัญคือ ทุกที่ที่ไปเหมือนกันหมดตรงที่ทุกคนมีน้ำใจต้อนรับเราอย่างดี จนถึงขนาดที่เราเองรู้สึกเกรงใจ แต่ก็เข้าใจว่านั่นเป็นความปรารถนาดีของเขา ซึ่งอะไรแบบนี้อาจจะหาได้ยากในสังคมเมือง” เรฉายภาพความประทับใจที่ได้รับกลับมาจากการเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้าไปพบกับมิตรภาพใหม่ๆ ซึ่งทำให้เขาหลงรักการผจญภัยจนแทบถอนตัวไม่ขึ้น

แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าผู้ชายที่ชื่อ เร แม๊คโดแนลด์ จะมุ่งแต่เข้าป่าหาความตื่นเต้นเพียงอย่างเดียว การเที่ยวในเมืองก็เป็นสิ่งที่เขาให้ความสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ เมื่อย้อนกลับมามองตัวเองว่าเดินทางไปทำความรู้จักกับเมืองต่างๆ มาแทบจะทั่วโลกแล้ว แต่กลับไม่ค่อยรู้จักกรุงเทพมหานครบ้านเกิดเมืองนอนสักเท่าไหร่ เรจึงหันมาทำความเข้าใจเมืองกรุงให้มากขึ้น จนเกิดเป็นรายการ “ติดกรุง” รายการใหม่ล่าสุดของเขา

“เราไปมาแล้วหลายที่ หลายประเทศ จนเหมือนรู้จักที่อื่นมากกว่าบ้านของตัวเอง จึงรู้สึกว่าแล้วกรุงเทพฯ ที่เราอยู่ล่ะ มีถนนกี่สาย มีคลองกี่เส้น มีกี่ย่าน ทำไมเราไม่เคยรู้ เลยอยากหันมาเข้าอกเข้าใจกับเมืองของเราให้มากขึ้น ซึ่งพอไปคุยกับพี่คนหนึ่งที่มีความรู้ด้านนี้ ก็ทำให้ผมได้เจอกับคำว่า พหุวัฒนธรรม คือกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งการมิกซ์แอนด์แมตช์อย่างแท้จริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินแล้วเราชอบมาก เลยนำคำนี้มาเป็นแกนของรายการ โดยพยายามสอดแทรกว่า อะไรคือความเป็นชาวกรุงหรือความเป็นไทย เข้าไปในรายการกินเที่ยวธรรมดาๆ นี่แหละ เพราะหากย้อนไปในอดีตแต่ละย่านก็ต่างมีที่มา อย่างคนส่วนใหญ่อาจจะบอกว่านี่เป็นย่านแขก แล้วแขกจากไหนล่ะ เพราะมีทั้งแขกมลายู แขกปัตตานี แขกอินโด แขกยะวา แขกเปอร์เซีย หรือย่านจีน เป็นจีนจากไหน จีนมีกี่มณฑล กี่ภาษา กี่สำเนียง ฮกเกี้ยน แคะ กวางตุ้ง เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราอยากจะเข้าใจเอง และอยากให้คนอื่นเข้าใจด้วย ทั้งเรื่องวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์ อาจจะไม่ได้เป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก แต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พอได้รู้แล้วจะว้าว ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างบ๊ะจ่าง การห่อก็บอกได้แล้วว่ามาจากมณฑลไหน คือเรื่องเหล่านี้มีความสนุกอยู่ในตัวเลยทำให้เราเพลินกับการค้นหาไปเรื่อยๆ” 

นักเดินทางตัวยงเผยถึงโปรเจ็กต์ล่าสุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขามองว่า ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยไปบุกป่าฝ่าดงเหมือนที่เคยทำมา หรือการเที่ยวในเมืองอย่างที่กำลังสนใจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการเรียนรู้ในแต่ละมิติ ที่ช่วยให้เขาได้เห็นโลกมากขึ้นในมุมมองที่แตกต่างกันไป ดังนั้นหากให้กำหนดสไตล์การเดินทางในแบบฉบับของตัวเอง เรจึงบอกว่า “โฮะ” น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด เพราะผสมผสานกันไป ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา สภาพร่างกาย และความชอบของตัวเองในขณะนั้น 

“ผมมองว่าการเดินทางมีหลายมิติ บางทีอาจจะไม่ต้องไปไกลก็ได้ ใกล้ๆ แค่เดินสำรวจแถวบ้านเรา นั่นก็ถือว่าเป็นการเดินทาง อย่างตอนนี้เรามีลูกแล้ว การเดินทางแบบครอบครัวก็เป็นการเดินทางอีกรสชาติหนึ่ง อาจจะต้องวางแผนเยอะขึ้นหน่อย แต่ก็สนุกไปอีกแบบ หรือการเดินทางกับเพื่อนร่วมงานเพื่อไปถ่ายทำรายการ ก็เป็นอีกมิติหนึ่ง แต่ช่วงหลังๆ มานี้ผมให้ความสนใจกับเรื่องราวทางวัฒนธรรมมากขึ้น อยู่กับที่ไหนก็ตามจะอยู่นานๆ เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนในแต่ละพื้นที่ เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือการท่องเที่ยววิถีชุมชน เพราะมองว่าการเที่ยวแบบนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรที่ไม่คาดฝันมาก่อน และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในเมืองได้” 

เรเผยถึงมุมมองในการเดินทางท่องเที่ยวที่ปรับเปลี่ยนไปตามแต่สถานการณ์และช่วงเวลาของเขา ก่อนจะเสริมด้วยข้อคิดสำหรับนักเดินทางทุกคนว่า หากอยากเห็นโลกกว้าง จงออกเดินทางโดยไม่จำเป็นต้องกำหนดรูปแบบตายตัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีถูก ไม่มีผิด แค่เปิดใจให้กว้าง และพร้อมที่จะยอมรับความแตกต่างที่ต้องพบเจอ เชื่อเถอะว่าสิ่งใหม่ๆ และประสบการณ์ที่รออยู่ระหว่างทางคุ้มค่าต่อการแพ็กกระเป๋าแน่นอน