BeautyBeauty 116Grooming TrendNumber 116Trend

Grooming Trend: What Men Want

WHAT MEN WANT 5 ลุคสุดเท่ที่กำลังมาแรงที่สุดสำหรับผู้ชายยุคนี้ ไม่ว่าจะลุคไหน ก็เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้ ถ้าหล่อเป็น FASHION EDITOR SANSHAI JIRAT SUBPISANKUL PHOTOGRAPHER ONG-ON UPA-IN STORY PILAN SRIVEERAKUL CUTE COLLEGE BOY ลุคหนุ่มน้อยที่เต็มไปด้วยความสดใส หัวใจอยู่ที่ผิวเกลี้ยงเกลา และผมสั้นเรียบง่ายที่ไม่ต้องเซ็ตและใช้สไตลิ่งโพรดักส์มากมาย เพื่อคงความใสให้กับลุควัยทีน HOT BAD BOY แบดบอยสุดซ่าที่เท่และดิบเถื่อน หัวใจอยู่ที่แฮร์สไตล์แบบไม่ตั้งใจเซ็ต ด้วยการใช้แว็กซ์แบบแมตต์ในการสไตลิ่ง และทำความสะอาดด้วยแชมพูที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดการอุดตันที่หนังศีรษะ SMART MAN ลุคเด็กเรียนหรือหนุ่มที่แฝงความเนิร์ดนิดๆ คืออีกลุคหนึ่งที่กำลังมาแรงในขณะนี้ หัวใจคือทรงผมที่ไร้การจัดแต่ง ซึ่งนั่นหมายถึงเส้นผมต้องมีสุขภาพดี จึงจะช่วยเสริมให้คุณดูดีในลุคนี้ได้อย่างมีสไตล์ ITALIAN MEN STYLE ลุคหล่อเนี้ยบแบบหนุ่มอิตาเลียนมีเครานิดๆ หัวใจอยู่ที่ความเป๊ะในทุกรายละเอียด แนะนำให้สไตลิ่งทรงผมแบบเว็ตลุคนิดๆ ด้วยเจลหรือแว็กซ์ จะช่วยให้ลุคนี้ดูเพอร์เฟ็กต์ยิ่งขึ้น K-POP IDOL ลุคหนุ่มเกาหลี คืออีกลุคที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ หัวใจคือทรงผมที่ดูไม่ธรรมดา ด้วยการสไตลิ่งให้ดูพองหนามีวอลุ่ม และดูมีความยุ่งนิดๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ผิวใสๆ และใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา EDITOR'S PICK CUTE COLLEGE BOY Key Tools: Aveda Men Pure-Formance™ Shampoo (300ml 850 Baht) Clinique For Men™ Dark Spot Corrector (30ml 2,295 Baht) Davidoff Cool Water Wave For Men EDT (75ml 1,850 Baht / 125ml 2,610 Baht / 200ml 3,350 Baht / *200ml is Travel Exclusive) HOT BAD BOY Key Tools: Aveda Men Pure-Formance™ Grooming Clay (75ml 1,020 Baht) Kérastase Elixir Ultime Sublime Cleansing Oil Shampoo (865 Baht) Davidoff Horizon Extreme EDP (75ml 2,020 Baht / 125ml 2,830 Baht) SMART MAN Key Tools: Aveda Men Pure-Formance™ Exfoliating Shampoo (200ml 1,020 Baht) Aveda Men Pure-Formance™ Conditioner (300ml 850 Baht) Shiseido…
Editor
25 December 2017
BeautyBeauty 116Beauty InsiderFeatureNumber 116POWER Mag

Beauty Insider: 3 Best Summer Beauty Solutions

3 BEST SUMMER BEAUTY SOLUTIONS รับมือกับอากาศร้อนเบอร์นี้ด้วย 3 เคล็ดลับดีๆ ที่รับประกันว่า “ร้อนแค่ไหนก็ยังสวย” FASHION EDITOR SANSHAI JIRAT SUBPISANKUL PHOTOGRAPHER WAROON KIETTISIN STORY PILAN SRIVEERAKUL ปัญหาผิวในช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องของความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จนผิวขาดความกระจ่างใสแล้ว อุณหภูมิความร้อนที่พุ่งสูงในขณะนี้ ยังสามารถขโมยความชุ่มชื้นให้ผิวเกิดอาการขาดน้ำ อีกทั้งยังกระตุ้นการผลิตน้ำมันจนทำให้เมกอัพดูดร็อป พร้อมทำให้เกิดอาการสิวปะทุ เกิดสิวผุดสิวอักเสบตามมาจนคุณหมดสวย และนี่คือ 3 ทางออกดีๆ ที่จะช่วยให้คุณเปล่งประกายผิวสวยสดใสได้แบบไม่มีหมอง 1. STOCK UP WATER หลายคนคิดว่า อากาศร้อนๆ แบบนี้ไม่ควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความมันหรือความเหนอะหนะให้ใบหน้า แต่ที่จริงแล้วนั่นคือความเชื่อที่ผิดถนัด เพราะความร้อนในอากาศสามารถทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น จนเกิดอาการผิวขาดน้ำได้ ซึ่งอาการผิวขาดน้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่มีผิวแห้งเท่านั้น ผู้ที่มีผิวมันก็สามารถเกิดอาการผิวขาดน้ำได้ด้วยเช่นกัน หากผิวสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานานๆ เคล็ดลับก็คือ การเลือกบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบาสูตรที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวกลับดูอิ่มเอิบสดใสดูมีสุขภาพดี เพราะหนึ่งในหัวใจสำคัญของผิวสวยอ่อนเยาว์ก็คือผิวที่ดูฉ่ำน้ำ โดยให้มองหามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคำว่า Aqua, Water หรือ Hydration ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับน้ำเป็นหลัก และเลือกใช้สูตรที่เป็นเนื้อเจลหรือเนื้ออิมัลชั่นที่มีความบางเบา เพื่อช่วยลดปัญหาความมันและความเหนอะหนะจากการทามอยส์เจอไรเซอร์ในช่วงอากาศร้อน 2. WEAR SOMETHING LIGHT อีกหนึ่งปัญหาคลาสสิกสำหรับช่วงอากาศร้อนก็คือ เรื่องของต่อมไขมันที่ขยันทำงานมากเกินจนผิวมันผิดปกติ ซึ่งความมันบนใบหน้านี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญทำให้เมกอัพที่แต่งไว้สวยงามในตอนเช้า กลับดูดร็อปลงอย่างรวดเร็วจนใบหน้าดูหม่นหมอง ขาดความสดใส เคล็ดลับก็คือ ลดขั้นตอนของสกินแคร์ในตอนเช้าให้เหลือน้อยที่สุด และเลือกใช้เฉพาะสูตรที่เป็นเนื้อบางเบาเท่านั้น ในตอนเช้าหลังล้างหน้าเสร็จแล้ว อาจตามด้วยการใช้โทนเนอร์ ต่อด้วยลิควิดสกินแคร์หรือน้ำตบ จากนั้นทามอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา เพื่อเติมน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว ตามด้วยครีมกันแดดสูตรน้ำหรือมิลกี้โลชั่นที่มีเนื้อเบาซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ แล้วจึงเริ่มแต่งหน้า ที่สำคัญ แป้งและรองพื้นของคุณต้องมีคุณภาพดี เมื่อเกิดการออกซิเดชั่นหรือทำปฏิกิริยากับน้ำมันบนใบหน้าแล้ว สีไม่ดร็อป ส่วนการทัชอัพในระหว่างวัน อาจเปลี่ยนจากการเติมแป้งหรือรองพื้นที่ทาในตอนเช้า มาเป็นเพียงการซับใบหน้าเบาๆ ด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วปัดไล้บางๆ ด้วยแป้งไฮไลต์ที่มีประกาย จะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างกระจ่างใสขึ้นโดยไม่ทำให้เมกอัพเป็นคราบ หรือใบหน้าดูหนาหนักจากการทัชอัพ 3. LEAVE YOUR SKIN ALONE อีกหนึ่งปัญหาผิวที่พบบ่อยก็คือ ปัญหาสิวอักเสบ หรือไม่ก็สิวผด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการล้างหน้าบ่อยเกินไปในอากาศร้อน หรือการสัมผัสใบหน้าบ่อยเกินไป เนื่องจากต้องการทัชอัพหรือซับความมันบนใบหน้า หรือเหงื่อที่ถูกขับออกมาแล้วทำปฏิกิริยากับสกินแคร์หรือเมกอัพ จนทำให้ผิวรู้สึกระคายเคืองจนเกิดสิว เคล็ดลับก็คือ ลดการสัมผัสผิวให้น้อยที่สุด อย่าล้างหน้าบ่อยเกินความจำเป็น หากอากาศร้อนแล้วอยากรู้สึกสดชื่นขึ้น ให้ใช้สเปรย์เพิ่มความชุ่มชื้น สเปรย์ไปในอากาศแล้วค่อยให้ละอองสเปรย์สัมผัสผิวหน้า ปล่อยให้สเปรย์ซึมเข้าผิวโดยไม่ต้องซับออก วิธีนี้จะช่วยรีเฟรชให้ผิวรู้สึกสดชื่นขึ้นโดยไม่รบกวนผิวหน้ามากเกินไป และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น โดยไม่ทำให้เมกอัพเป็นคราบ นอกจากนั้นยังควรสครับผิวด้วยสครับเนื้อละเอียด สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพและลดการอุดตันในผิว พร้อมมาสก์ผิวด้วยมาสก์สูตรดีท็อกซ์ผิว ที่ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและความมันบนใบหน้าอย่างล้ำลึก สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งด้วยเช่นกัน EDITOR'S PICK CLINIQUE Moisture Surge Hydrating Supercharged Concentrate (48ml 1,830 Baht) มอยส์เจอไรเซอร์เติมน้ำให้ผิวอย่างเร่งด่วน VICHY Idealia Lumiere Illuminating Moisture Essence (30ml 1,615 Baht) เอสเซนส์เนื้อบางเบา เพื่อคืนความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนกระจ่างใส GIVENCHY Vax’In City Skin Solution D-Tox…
Editor
25 December 2017
DestinationLifestyleLifestyle 116Number 116POWER Mag

Destination: Down To The Amazon River

TWILIGHT SKY ท้องฟ้ายามพลบค่ำของแม่น้ำแอมะซอนสวยงามเป็นที่เลื่องลือ ท้องฟ้าจะเป็นสีชมพูและเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสีแดงปนแสงสีทอง สุดท้ายอาบไปทั่วทั่งผืนฟ้าและแผ่นน้ำ ในภาพนี้จึงดูเหมือนเรืออาเรีย แอมะซอนกำลังล่องอยู่ในอวกาศ DOWN TO THE AMAZON RIVER การได้ล่องเรือไปตามแม่น้ำแอมะซอน อาจจะเป็นความฝันครั้งหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆ คน STORY & PHOTOGRAPHY SETHAPONG PAWWATTANA ริมฝั่งแม่น้ำแอมะซอนไม่ได้มีแต่สีเขียวของต้นไม้ แต่มีสีสันจากนกนานาชนิด ดอกไม้ป่า และสัตว์ป่าทั้งหลาย ซึ่งจะมาหาอาหารริมแม่น้ำ แม้แอมะซอนจะไม่ได้ครองอันดับหนึ่งในการเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งอันดับหนึ่งนั้นเป็นของแม่น้ำไนล์ แต่ถ้ารวมแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขาเข้าด้วยกันแล้ว แม่น้ำแอมะซอนจะมีความยาวที่โอบพันโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 2 รอบ และที่แน่ๆ ลุ่มน้ำแอมะซอนที่ไหลผ่านประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เป็นป่าดงดิบที่เป็นเสมือนปอดของโลก คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแอมะซอน ใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางสัญจรเหมือนเราใช้ถนน การเดินทางโดยเรือล่องไปตามแม่น้ำสู่เมืองต่างๆ คือประสบการณ์ที่นักเดินทางที่มีจิตวิญญาณของนักผจญภัยต้องการมีประสบการณ์สักครั้ง การได้เห็นสัตว์ป่า ฝูงนกนานาชนิด และงูยักษ์อนาคอนด้า เร้าจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย COLOURS OF AMAZON 1. แม้บางครั้งไม่เห็นตัว แต่เราจะได้ยินเสียงนกแก้วมาคอว์ร้องเซ็งแซ่อยู่ในป่าริมแม่น้ำ 2.ดาดฟ้าเรืออาเรีย แอมะซอนที่ทำเป็นห้องนั่งเล่น มีบาร์เครื่องดื่มอยู่ด้านหนึ่ง กระจกใสโดยรอบทำให้เราเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำอย่างอิ่มตา 3. เฮลิโคเนียที่ขึ้นอยู่เกลื่อนในป่า มีฝูงมดตอมหาน้ำหวานเสมอ4.ความชุ่มเขียวริมแม่น้ำ ยามฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมสูงขึ้นไปถึงหนึ่งในสามของต้นไม้ใหญ่ที่เห็น 5. คุ้งน้ำนี้มีโลมาสีชมพูที่ขึ้นชื่อของแอมะซอน ซึ่งไม่ขี้เล่นเหมือนโลมาในทะเล แต่ก็โผล่มาหายใจให้เห็นตัวเป็นระยะๆ 6. ลำตัวของปลาปิรันยามีสีสวยจนไม่ชวนให้คิดว่านี่คือเพชฌฆาตแห่งลุ่มน้ำแอมะซอน CLOSE TO NATURE 7. ลิงคาปูชินตัวเล็กๆ หางยาว ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ชอบมาเกาะตามพุ่มไม้ริมแม่น้ำดูเรือที่ผ่านไปมา 8. ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของแม่น้ำแอมะซอนที่คล้ายยามพลบค่ำ แต่ไม่เป็นสีแดงเข้มเหมือนในยามพลบค่ำ WIDE WILD SCENARIO 9. เรืออาเรีย แอมะซอนที่ออกแบบให้คนโดยสารสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำได้เต็มตา ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเรือ GOLDEN SUNSET 10. แดดสีทองยามเย็นสาดไปทั่วห้องนั่งเล่นของเรือ ในภาพนี้จะมองเห็นบางช่วงของแม่น้ำที่เวิ้งว้างกว้างไกลเหมือนทะเลที่มองไม่เห็นฝั่งแต่สิ่งที่คิดไว้จากการได้รับชมรายการสารคดีทางโทรทัศน์ กับสิ่งที่เป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก การเดินทางด้วยเรือโดยสารไปตามลำน้ำแอมะซอน ไม่ว่าจะจากเมืองใด ส่วนใหญ่จะเป็นเรือ 3 ชั้น ที่ไม่มีห้องพักแยกต่างหากสำหรับคนโดยสาร เรือบางลำอาจจะมีแต่ก็ไม่มาก คนโดยสารจะต้องมีเปลญวนของตัวเอง ไปรอที่ท่าเรือ 5-8 ชั่วโมงก่อนเรือออก เพื่อรอว่าเมื่อใดที่อนุญาตให้คนโดยสารขึ้นเรือได้ จะได้ไปจองที่แขวนเปล ที่จะกลายเป็นทั้งที่นั่งและที่นอนตลอดการเดินทาง 3-5 วัน ซึ่งจะมีคนมาแขวนเปลข้างๆ เรียงกันแน่นขนัดบนเรืออาจจะมีบริการน้ำและอาหาร แต่ควรมีผลไม้อย่างกล้วย หรือของขบเคี้ยวให้พลังงาน รวมทั้งน้ำติดตัวไปเอง ถ้าเรือแวะตามท่าต่างๆ อาจหาซื้ออาหารได้แต่ก็อาจจะไม่ตรงเวลามื้ออาหาร พื้นที่บนดาดฟ้าเรือ คือลานอเนกประสงค์ที่จะมีเสียงเพลงเปิดดังลั่นเสมอ เรือบางลำอาจจะฝากของในห้องเก็บสัมภาระสำคัญกับกัปตันได้ แต่จะเจอสัมภาระนี้อีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงปลายทางแล้วเท่านั้นทุกวันที่รอนแรมไปตามสายน้ำแอมะซอน เราจะได้ยินเสียงฝูงนกในป่าริมแม่น้ำ แต่ยากที่จะเห็นสัตว์ป่าใดๆ เห็นแต่ริมฝั่งน้ำที่ดูเผินๆ ก็เหมือนแม่น้ำในบ้านเรา ช่วงที่ไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านนั่นเอง หลายคนจะกลับจากทริปล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรือโดยสารที่แวะไปตามท่าต่างๆ เพื่อรับส่งสินค้าและคนโดยสาร นักเดินทางจะเห็นแต่ทิวทัศน์เดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นดังนั้น การจะล่องแม่น้ำแอมะซอนเพื่อการผจญภัย จึงไม่ใช่การใช้เรือโดยสารที่ล่องไปตามแม่น้ำที่คนท้องถิ่น ใช้เดินทางเชื่อมโยงเมืองต่างๆ แต่ควรไปกับทัวร์ ที่จัดล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรือที่จัดขึ้นมาโดยเฉพาะ ความหรูหราสะดวกสบายนั้นไม่ได้ทำให้การผจญภัยของคุณลดน้อยลง แต่จะทำให้คุณได้เก็บความประทับใจต่างๆ ไว้มากขึ้นผู้เขียนมีโอกาสล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรืออาเรีย แอมะซอน (Aria Amazon) โดย Aqua Expeditions โดยล่องไปในแม่น้ำแอมะซอนของประเทศเปรู ลัดเลาะไปตามแม่น้ำสาขาต่างๆ อย่างอูคายาลี (Ucayali) และมาราน็อง (Marañón) แล้วก็วกเข้าแม่น้ำแอมะซอนอีกมีจุดเริ่มต้นที่เมืองอิกีโตส (Iquitos) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของพื้นที่ป่าแอมะซอนของเปรู คำว่าเมืองใหญ่นี้หมายถึงในเมืองนั้นมีจำนวนพลเมืองมาก ไม่ใช่ตึกสูงๆ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ต่างๆ บนคบไม้สูงๆ เราจะเห็นสับปะรดสี (Bromeliad) ดอกสวยแปลก อันเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดที่นี่ ถ้าเป็นการเดินทางจากประเทศไทย จะใช้เส้นทางบินใดก็ได้ แต่ให้ไปเริ่มต้นที่ประเทศเปรู ต่อเครื่องด้วยสายการบินในประเทศไปยังอิกีโตส ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 20 นาทีก็ถึง ระหว่างอยู่บนเครื่อง สังเกตเห็นทิวทัศน์ด้านล่างเป็นเทือกเขาที่แห้งแล้ง แต่ก็มีสัญญานของชุมชนอยู่เป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่มีทะเลสาบบนเขาสูง ฉับพลันเราก็เข้าสู่พื้นที่สีเขียวเข้มของผืนป่าดงดิบ มีเส้นสีเงินเหลือบดำพาดพันเสมือนงูตัวใหญ่ที่มีแม่น้ำสาขาแยกย่อยไปมากมาย นี่เองคือแม่น้ำแอมะซอนที่เราจะได้สัมผัส มีรายงานว่า แต่ละวันพื้นที่ของผืนป่าแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้แหว่งหายไปด้วยการตัดไม้ทำลายป่าถึง 5 สนามฟุตบอลต่อวัน แต่เราก็ยังเห็นสีเขียวเข้ม ของป่าดงดิบสุดลูกหูลูกตา…
Editor
25 December 2017
LifestyleLifestyle 116Number 116POWER Mag

Remarkable Journey: Architectural Love

ARCHITECTURAL LOVE STORY CHALISA VIRAVAN ทุกเมืองบนโลกต่างก็มีศิลปะและสถาปัตยกรรมที่งดงามและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่สำหรับหนุ่มๆ เซเลบริตี้สายเลือดไทยแล้ว แต่ละคนจะประทับใจที่เมืองไหนเป็นพิเศษกันบ้าง ตามไปชมกัน พงษ์มนัส สวัสดิชัย ผมชอบเมืองปารีสตรงแม่น้ำแซน เพราะรอบๆ นั้นมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย พร้อมๆ กับได้มองเห็นผู้คนในสมัยใหม่ กลายเป็นวิถีชีวิตที่ ดูคอนทราสต์และน่าทึ่ง เพราะมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่ ไม่ไกลจากแม่น้ำแซนก็มีมหาวิหารน็อทร์-ดามและพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นแหล่งของ “สถาปัตยกรรมซ้อนสถาปัตยกรรม” อย่างเมื่อ 2 ปีก่อนมีแฟชั่นโชว์ของ Dior มาตั้งกลางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เขาสร้างเป็นอาคารเทียมขึ้นมาเลยโดยเฉพาะ เหมือนเป็นการสร้างสิ่งใหม่ในสิ่งเก่าที่มีอยู่แล้วและสะท้อนวัฒนธรรมกันไปมา พิพิธภัณฑ์นี้นอกจากสถาปัตยกรรมจะงดงามแล้ว ก็เป็นสถานที่สำคัญที่เมื่อมีศิลปะกระเด็นเข้าไปเมื่อไหร่ มันจะสามารถแสดงตัวตนออกมาได้เลยอย่างชัดเจน คณาพจน์ อุ่นศร ต้องลอนดอนครับ โดยเฉพาะบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่ผสมผสานกับความทันสมัยได้อย่างลงตัวในเมืองๆ เดียว บริเวณที่เราชอบสถาปัตยกรรมมากที่สุดก็คือตรง Westminster Bridge ไม่ไกลจาก London Eye เป็นที่ๆ ทำให้รู้สึกว่านี่คือเมืองเก่าที่ยังมีชีวิตชีวา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ยังอยู่ในเมืองเก่า ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ ถ้าได้ไปลอนดอนอีกครั้ง ก็จะแวะไปที่ Westminster Bridge อีกแน่นอน เพราะที่นี่ยังมีอะไรรอให้เราไปค้นพบอีกมากมาย กฤษณ์ มนูญศิริกุล ตั้งแต่เดินทางมา ชอบอัมสเตอร์ดัมที่สุด เพราะทุกครั้งที่ไปจะรู้สึกว่าที่นี่มีบรรยากาศน่ารักมาก โดยเฉพาะตรงบ้านทรงสูงของคนที่นั่น เขาจะอยู่ติดกับคลองเลย แล้วแต่ละหลังจะมีหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำให้นึกถึงวินโดว์ดิสเพลย์ (หัวเราะ) ซึ่งบางครั้งเวลาเดินผ่านก็สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น หรือคนในบ้านได้ กลายเป็นได้ปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ที่ไม่ได้พบเจอกันง่ายๆ ถึงผมจะเป็นคนที่ได้ไปต่างประเทศบ่อย และรักการท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ แต่ที่นี่ก็ยังทำให้ผมอยากกลับไปอีกครั้งได้เสมอ ภาณุพงษ์ ภักดีล้น อิตาลีคือคำตอบ เพราะที่นี่เป็นเหมือนศูนย์รวบรวมแหล่งศิลปะและการออกแบบระดับโลก อาคารที่ชอบที่สุดคือ Florence Baptistery ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา ที่นี่มีลายเส้นและกลิ่นอายด้านสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ที่ทำให้เรานึกถึง Fornasetti แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติอิตาลีที่ผมชอบมากๆ ถึงเอกลักษณ์จะเป็นความเซอร์เรียล แต่พวกลายเส้นและดีเทลกลับมีความคล้ายคลึงกับการตกแต่งของอาคารนี้ ถ้าใครเคยเห็นเครื่องเซรามิกของ Fornasetti จะรู้ว่าเขาทำลายอาคารที่หน้าตาคล้ายๆ Florence Baptistery นี้ด้วย ทำให้ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ชัย เจียมกิตติกุล ผมชอบเมืองอัมสเตอร์ดัม โดยเฉพาะตรงโบสถ์กลางเมืองอย่าง The Old Church หรือ Oude Kerk มองข้างนอกที่นี่ก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร แต่พอเข้าไปข้างในจะได้กลิ่นอายโบราณ เพราะที่นี่เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในอัมสเตอร์ดัม ใช้เป็นที่ฝังศพคนมีชื่อเสียงของประเทศ และสร้างได้ประมาณ 800 ปีแล้ว โครงสร้างเพดานและฝ้าแทบทั้งหมดของที่นี่จะแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความตาย ทำให้ยิ่งรู้สึกดิบและขลังเข้าไปใหญ่ บรรยากาศจึงต่างจากโบสถ์อื่นๆ ในยุโรป ถึงจะไม่ได้สวยหมดจด แต่ก็ดิบและมีความงดงามที่พื้นผิวการตกแต่ง ถ้าได้กลับไปอีกครั้ง อยากจะแวะไปนั่งพักผ่อนที่คาเฟ่ข้างโบสถ์ เป็นมุมสงบเล็กๆ ที่น่านั่งจนอยากบอกต่อ ปนุ สมบัติยานุชิต ของผมเป็นที่เมืองไจเปอร์ ประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะตึกรามบ้านช่อง สีสันส่าหรีของผู้คน หรือบรรยากาศ ต่างก็ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์และความลึกลับ แตกต่างจากเมืองอื่นๆ อย่างนิวยอร์กหรือโรม ที่เวลาดูในภาพถ่ายกับตอนที่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรกันมาก แต่ถ้าเป็นไจเปอร์ ที่นี่ทำให้เรารู้สึกขลัง เหมือนมีมนตราอะไรบางอย่างที่ทำให้มีเสน่ห์มากกว่าในภาพถ่ายหลายเท่า อีกไม่นานคงได้กลับไปอีกครั้ง และคราวนี้จะกลับไปค้นหา “ความเป็นไจเปอร์” ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ศุภกาญจน์ ปลอดภัย สำหรับผมแล้วไม่ได้ชอบแค่ที่ใดที่หนึ่งมากที่สุด อย่างหลายๆ จังหวัดในประเทศไทยผมก็ชอบ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายรูปแบบมากๆ ส่วนต่างประเทศที่ชอบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝั่งยุโรป ซึ่งแต่ละประเทศก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว อย่างที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองอัมสเตอร์ดัม ผมประทับใจ Red Light…
Editor
25 December 2017
LifestyleLifestyle 116My WorldNumber 116POWER Mag

MY WORLD
Sentimental Memory

SENTIMENTAL MEMORY หลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นผลงานแฟชั่นสวยๆ ของ “เบียร์--สุดเขต จิ้วพานิช” ใน Vogue Thailand ที่เขาขึ้นชื่อเรื่องการถ่าย Portrait ที่ดึงเอาอารมณ์ของแบบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง PHOTOGRAPHY:  SOOTKET JIWPANIT STORY:  CHALISA VIRAVAN “ผมชอบถ่ายภาพคนมากกว่าวิว ถึงถ่ายวิวก็ยังต้องมีคนอยู่ในนั้นอยู่ดี” เขาเล่าอย่างอารมณ์ดี ในโลกส่วนตัวของเบียร์ เขามีภาพถ่ายที่ Snap ไว้มากมาย และวันนี้เบียร์ได้นำภาพที่มีความหมายน่ารักๆ กับเขา มาบอกเล่าเรื่องราวข้างหลังภาพในเราฟัง PARIS “ปารีสเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก และผมก็รู้สึกถึงมันได้ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ตอนนั้นเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม เวลาเห็นคู่รักชายหญิงแสดงความรักอย่างการจูบกันในที่สาธารณะ ยุคนั้นผมชอบพกกล้องฟิล์มติดตัวไปด้วย เลยถ่ายภาพนี้เก็บไว้เพราะประทับใจกับการแสดงออกอย่างเปิดเผยของชาวปารีเซียง ในวันเดียวกัน ผมได้เดินเตร็ดเตร่มานั่งพักในสวนแถว Le Marais และได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังพยายามกล่อมลูกให้นอนด้วยการฮัมเพลงเบาๆ ผมเดินผ่านและสัมผัสได้ถึงความรักที่เขามีต่อลูก เลยแอบเก็บภาพของพวกเขา รวมไปถึงคู่รักคุณลุงและคุณป้า ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่นานพักใหญ่ จนคุณป้าลุกขึ้นและกำลังจะเดินไป ส่วนคุณลุงนั้นพยายามจะลุกตาม แต่ช้ากว่าป้า ผมเลยได้ภาพที่ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนแก่ ว่าผมคงจะช้ากว่าคู่ชีวิตผมและคงเดินตามเธอไม่ทัน (หัวเราะ) ผมชอบหยุดดูคู่ผู้สูงอายุที่ยังดูแลกันและกัน มันให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งและแสดงถึงความรักที่ยาวนานมั่นคง มันซาบซึ้งทุกครั้งเวลาผมเห็นพวกเขาจูงมือกัน เวลาทำงานผมมักจะต้องถ่ายภาพให้ออกมาในแง่ของแฟชั่น ฉะนั้นเวลาว่างผมเลยชอบหยุดดูช่วงเวลาเหล่านี้ มันเรียบง่ายและจริงใจดี” GUANAJUATO “ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวประเทศเม็กซิโก และแวะไปที่ Museo Soumaya เป็นมิวเซียมที่แสดงผลงานของ Salvador Dali ไว้เยอะมาก ซึ่งเป็นศิลปินที่ผมชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่นั้น สายตามาสะดุดกับประติมากรรม 2 ชิ้นนี้ที่ถูกจัดวางโดยชิ้นหนึ่งอยู่ในตู้กระจกดิสเพลย์ ส่วนชิ้นที่ห่างออกไปนั้นอยู่ด้านนอก โดยทั้งคู่ให้อารมณ์ที่เหมือนโหยหาซึ่งกันและกัน ผมไม่ค่อยเห็นผลงานในมิวเซียมถูกจัดวางให้มีอารมณ์ต่อเนื่องกันแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะจบในตัวและมีเรื่องราวต่างๆ กันไป ถึงผมจะจำชื่อผลงาน 2 ชิ้นนี้ไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองชิ้นสร้างความประทับใจจนทุกครั้งที่ผมเห็นภาพนี้ ก็จะนึกถึงอารมณ์โหยหานั้นไม่ลืม มันเป็นโมเมนต์ที่ประทับใจมาก ส่วนอีกภาพที่ผมชอบมากคือ คู่รักชาวเม็กซิกันใส่เสื้อสีแดงเหมือนกันที่ผมเจอในร้านอาหาร เขาทั้งสอง รวมทั้งผม พวกเรา ต่างนั่งกันตรงบริเวณหน้าร้าน พวกเขานั่งคุยกันไม่หยุด ขนาดพนักงานบอกว่าจะเก็บร้านแล้ว แถมมายกโต๊ะออกไปก็แล้ว พวกเขาก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ 2 ตัวคุยกันต่อ จนกระทั่งพร้อมใจกันลุกออกไป ให้ความรู้สึกไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว ก็ไม่มีอะไรหยุดความรักของทั้งสองได้” BROOKLYN, NEW YORK CITY “ผมมีความคุ้นเคยกับเมืองนี้ และชอบเสน่ห์ของความเรียบง่ายในบรูคลิน ผู้คนจะมีทัศนคติแบบสบายๆ และมีเอกลักษณ์บางอย่างที่สุดแสนจะอเมริกัน สิ่งที่ผมเห็นบ่อยคือ การที่สุนัขเดินผ่านและเข้าไปดมทักทายกัน ถ้าเป็นเมืองอื่น เจ้าของมักจะยิ้มเบาๆ และเดินผ่านไป หรือไม่ก็ดึงเชือกจูงไม่ให้สุนัขของตัวเองเข้าไปยุ่งกับสุนัขของคนแปลกหน้านานๆ แต่ที่อเมริกา ผมว่าเป็นประเทศที่ทุกคนได้เพื่อนใหม่จากการที่สัตว์เลี้ยงของตัวเองเข้าไปคุยกับตัวอื่น และ 2 คนในภาพนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ผมเห็นสุนัข 2 ตัว ซึ่งน่าจะต่างเพศ ดมกันไปมาจนเจ้าของเริ่มคุยกันนานจนผมเริ่มจินตนาการไปว่า เดี๋ยวคงแลกเบอร์กันแน่ๆ ก่อนแอบเก็บภาพพวกเขาเหมือนอย่างที่เคยชิน”
Editor
25 December 2017