TWILIGHT SKY
ท้องฟ้ายามพลบค่ำของแม่น้ำแอมะซอนสวยงามเป็นที่เลื่องลือ ท้องฟ้าจะเป็นสีชมพูและเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสีแดงปนแสงสีทอง สุดท้ายอาบไปทั่วทั่งผืนฟ้าและแผ่นน้ำ
ในภาพนี้จึงดูเหมือนเรืออาเรีย แอมะซอนกำลังล่องอยู่ในอวกาศ

DOWN TO THE AMAZON RIVER

การได้ล่องเรือไปตามแม่น้ำแอมะซอน
อาจจะเป็นความฝันครั้งหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆ คน

STORY & PHOTOGRAPHY

SETHAPONG PAWWATTANA

ริมฝั่งแม่น้ำแอมะซอนไม่ได้มีแต่สีเขียวของต้นไม้ แต่มีสีสันจากนกนานาชนิด ดอกไม้ป่า และสัตว์ป่าทั้งหลาย ซึ่งจะมาหาอาหารริมแม่น้ำ

แม้แอมะซอนจะไม่ได้ครองอันดับหนึ่งในการเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งอันดับหนึ่งนั้นเป็นของแม่น้ำไนล์ แต่ถ้ารวมแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขาเข้าด้วยกันแล้ว แม่น้ำแอมะซอนจะมีความยาวที่โอบพันโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 2 รอบ และที่แน่ๆ ลุ่มน้ำแอมะซอนที่ไหลผ่านประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกาใต้ เป็นป่าดงดิบที่เป็นเสมือนปอดของโลก

คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแอมะซอน ใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางสัญจรเหมือนเราใช้ถนน การเดินทางโดยเรือล่องไปตามแม่น้ำสู่เมืองต่างๆ คือประสบการณ์ที่นักเดินทางที่มีจิตวิญญาณของนักผจญภัยต้องการมีประสบการณ์สักครั้ง การได้เห็นสัตว์ป่า ฝูงนกนานาชนิด และงูยักษ์อนาคอนด้า เร้าจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย

COLOURS OF AMAZON

1. แม้บางครั้งไม่เห็นตัว แต่เราจะได้ยินเสียงนกแก้วมาคอว์ร้องเซ็งแซ่อยู่ในป่าริมแม่น้ำ

2.ดาดฟ้าเรืออาเรีย แอมะซอนที่ทำเป็นห้องนั่งเล่น มีบาร์เครื่องดื่มอยู่ด้านหนึ่ง กระจกใสโดยรอบทำให้เราเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำอย่างอิ่มตา

3. เฮลิโคเนียที่ขึ้นอยู่เกลื่อนในป่า มีฝูงมดตอมหาน้ำหวานเสมอ

4.ความชุ่มเขียวริมแม่น้ำ ยามฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมสูงขึ้นไปถึงหนึ่งในสามของต้นไม้ใหญ่ที่เห็น

5. คุ้งน้ำนี้มีโลมาสีชมพูที่ขึ้นชื่อของแอมะซอน ซึ่งไม่ขี้เล่นเหมือนโลมาในทะเล แต่ก็โผล่มาหายใจให้เห็นตัวเป็นระยะๆ

6. ลำตัวของปลาปิรันยามีสีสวยจนไม่ชวนให้คิดว่านี่คือเพชฌฆาตแห่งลุ่มน้ำแอมะซอน

CLOSE TO NATURE

7. ลิงคาปูชินตัวเล็กๆ หางยาว ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ชอบมาเกาะตามพุ่มไม้ริมแม่น้ำดูเรือที่ผ่านไปมา

8. ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของแม่น้ำแอมะซอนที่คล้ายยามพลบค่ำ แต่ไม่เป็นสีแดงเข้มเหมือนในยามพลบค่ำ

WIDE WILD SCENARIO

9. เรืออาเรีย แอมะซอนที่ออกแบบให้คนโดยสารสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำได้เต็มตา ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเรือ

GOLDEN SUNSET

10. แดดสีทองยามเย็นสาดไปทั่วห้องนั่งเล่นของเรือ ในภาพนี้จะมองเห็นบางช่วงของแม่น้ำที่เวิ้งว้างกว้างไกลเหมือนทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง

แต่สิ่งที่คิดไว้จากการได้รับชมรายการสารคดีทางโทรทัศน์ กับสิ่งที่เป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก การเดินทางด้วยเรือโดยสารไปตามลำน้ำแอมะซอน ไม่ว่าจะจากเมืองใด ส่วนใหญ่จะเป็นเรือ 3 ชั้น ที่ไม่มีห้องพักแยกต่างหากสำหรับคนโดยสาร เรือบางลำอาจจะมีแต่ก็ไม่มาก คนโดยสารจะต้องมีเปลญวนของตัวเอง ไปรอที่ท่าเรือ 5-8 ชั่วโมงก่อนเรือออก เพื่อรอว่าเมื่อใดที่อนุญาตให้คนโดยสารขึ้นเรือได้ จะได้ไปจองที่แขวนเปล ที่จะกลายเป็นทั้งที่นั่งและที่นอนตลอดการเดินทาง 3-5 วัน ซึ่งจะมีคนมาแขวนเปลข้างๆ เรียงกันแน่นขนัด

บนเรืออาจจะมีบริการน้ำและอาหาร แต่ควรมีผลไม้อย่างกล้วย หรือของขบเคี้ยวให้พลังงาน รวมทั้งน้ำติดตัวไปเอง ถ้าเรือแวะตามท่าต่างๆ อาจหาซื้ออาหารได้แต่ก็อาจจะไม่ตรงเวลามื้ออาหาร พื้นที่บนดาดฟ้าเรือ คือลานอเนกประสงค์ที่จะมีเสียงเพลงเปิดดังลั่นเสมอ เรือบางลำอาจจะฝากของในห้องเก็บสัมภาระสำคัญกับกัปตันได้ แต่จะเจอสัมภาระนี้อีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงปลายทางแล้วเท่านั้น

ทุกวันที่รอนแรมไปตามสายน้ำแอมะซอน เราจะได้ยินเสียงฝูงนกในป่าริมแม่น้ำ แต่ยากที่จะเห็นสัตว์ป่าใดๆ เห็นแต่ริมฝั่งน้ำที่ดูเผินๆ ก็เหมือนแม่น้ำในบ้านเรา ช่วงที่ไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านนั่นเอง หลายคนจะกลับจากทริปล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรือโดยสารที่แวะไปตามท่าต่างๆ เพื่อรับส่งสินค้าและคนโดยสาร นักเดินทางจะเห็นแต่ทิวทัศน์เดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ดังนั้น การจะล่องแม่น้ำแอมะซอนเพื่อการผจญภัย จึงไม่ใช่การใช้เรือโดยสารที่ล่องไปตามแม่น้ำที่คนท้องถิ่น ใช้เดินทางเชื่อมโยงเมืองต่างๆ แต่ควรไปกับทัวร์ ที่จัดล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรือที่จัดขึ้นมาโดยเฉพาะ ความหรูหราสะดวกสบายนั้นไม่ได้ทำให้การผจญภัยของคุณลดน้อยลง แต่จะทำให้คุณได้เก็บความประทับใจต่างๆ ไว้มากขึ้น

ผู้เขียนมีโอกาสล่องแม่น้ำแอมะซอนด้วยเรืออาเรีย แอมะซอน (Aria Amazon) โดย Aqua Expeditions โดยล่องไปในแม่น้ำแอมะซอนของประเทศเปรู ลัดเลาะไปตามแม่น้ำสาขาต่างๆ อย่างอูคายาลี (Ucayali) และมาราน็อง (Marañón) แล้วก็วกเข้าแม่น้ำแอมะซอนอีกมีจุดเริ่มต้นที่เมืองอิกีโตส (Iquitos) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของพื้นที่ป่าแอมะซอนของเปรู คำว่าเมืองใหญ่นี้หมายถึงในเมืองนั้นมีจำนวนพลเมืองมาก ไม่ใช่ตึกสูงๆ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

ธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ต่างๆ บนคบไม้สูงๆ เราจะเห็นสับปะรดสี (Bromeliad) ดอกสวยแปลก อันเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดที่นี่

ถ้าเป็นการเดินทางจากประเทศไทย จะใช้เส้นทางบินใดก็ได้ แต่ให้ไปเริ่มต้นที่ประเทศเปรู ต่อเครื่องด้วยสายการบินในประเทศไปยังอิกีโตส ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 20 นาทีก็ถึง ระหว่างอยู่บนเครื่อง สังเกตเห็นทิวทัศน์ด้านล่างเป็นเทือกเขาที่แห้งแล้ง แต่ก็มีสัญญานของชุมชนอยู่เป็นหย่อมๆ ตรงบริเวณที่มีทะเลสาบบนเขาสูง ฉับพลันเราก็เข้าสู่พื้นที่สีเขียวเข้มของผืนป่าดงดิบ มีเส้นสีเงินเหลือบดำพาดพันเสมือนงูตัวใหญ่ที่มีแม่น้ำสาขาแยกย่อยไปมากมาย นี่เองคือแม่น้ำแอมะซอนที่เราจะได้สัมผัส

มีรายงานว่า แต่ละวันพื้นที่ของผืนป่าแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้แหว่งหายไปด้วยการตัดไม้ทำลายป่าถึง 5 สนามฟุตบอลต่อวัน แต่เราก็ยังเห็นสีเขียวเข้ม
ของป่าดงดิบสุดลูกหูลูกตา นั่นไม่ได้หมายความว่า ป่าไม่ได้ถูกทำลาย ผืนป่าแอมะซอนไม่ใช่แค่ปอดของโลก แต่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ต่างๆ ยารักษาโรคต่างๆ ก็มาจากป่านี้ การอนุรักษ์ผืนป่าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

แอมะซอน ชื่อนี้มาจากชาวสเปนที่แล่นเรือลึกเข้าไปในทวีปอเมริกาใต้ และถูกโจมตีโดยกองทัพชาวพื้นเมืองที่มีผมยาว แต่งกายด้วยขนนกหลากสี ชาวสเปนจึงคิดว่าเป็นผู้หญิง และคิดว่านี่คือดินแดนที่มีนักรบหญิงที่ดุร้ายในตำนานของกรีก ซึ่งเรียกว่าชนเผ่าแอมะซอนนั่นเอง แล้วดินแดนแถบนี้ก็ถูกรุกรานโดยชาวสเปน

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่อิกีโตส เราพบกับไกด์ซึ่งเป็นนักธรรมชาติวิทยาท้องถิ่น พวกเขาได้รับการอบรมมาอย่างดี จากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาตลอด 5 วัน ที่เดินทางด้วยกัน ทุกคนเข้าใจเรื่องป่าแอมะซอนเป็นอย่างดี และเน้นให้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เราเดินทางจากสนามบินด้วยรถตู้ ผ่านเมืองอิกีโตสแต่รอบนอก ไปตามถนนสายตรงยาวที่เพิ่งสร้างไม่กี่ปีนี้เอง แม้จะทำให้การเดินทางระหว่างเมืองสะดวก แต่คนท้องถิ่นชินกับการเดินทางระหว่างเมืองด้วยเรือมากกว่า

BEYOND NATURE

11. เรือสกิ๊ฟที่พาเราซอกซอนไปตามแม่น้ำสาขาและเทียบฝั่งที่มีน้ำตื้นได้

12. นก Hoatzin นกดึกดำบรรพ์ มีให้ชมที่นี่ที่เดียว

13. นกตัวเล็กๆ ใหญ่กว่านกฮัมมิ่งเบิร์ดเล็กน้อย มีขนที่สีสวยแปลก

14. เรือสกิ๊ฟมุ่งหน้ากลับเรือใหญ่ หลังจากการไปปิกนิกที่หาดทรายริมแม่น้ำ

เรืออาเรีย แอมะซอนจอดอยู่ที่ท่าเมืองเนาต้า (Nauta) เรือนี้มีห้องโดยสาร 12 ห้อง และมีลูกเรือ 23 คน คอยดูแลแขกในทริปนี้ ซึ่งจำนวนลูกเรือจะมีมากขึ้นตามปริมาณคนโดยสาร บนเรือนี้มีห้องพักที่เป็นห้องสวีททุกห้อง จำนวน 16 ห้อง อาหารและเครื่องดื่มบนเรือสร้างสรรค์โดยเชฟ Pedro Miguel Schiaffino ซึ่งร้านอาหารของเขาที่เมืองลีมา เมืองหลวงของเปรู ได้รับดาวมิชลิน เขาเป็นเชฟชาวเปรูที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยจะมีเชฟประจำเรือ พร้อมทีมที่ดูแลให้นักเดินทางได้สัมผัสอาหารรสเลิศที่ปรุงด้วยวัตถุดิบจากลุ่มน้ำแอมะซอน

เรืออาเรีย แอมะซอนที่จอดนิ่งอยู่ในแม่น้ำ ดูโอ่อ่าและมีดีไซน์ที่ทันสมัย ตัวเรือสีดำด้าน หน้าต่างกระจกใสที่กรุห้องโดยสารมีขนาดใหญ่แบบพื้นจรดเพดาน เพื่อให้มองเห็นวิวทิวทัศน์จากห้องพักได้เต็มตา เป็นแนวคิดของ Francesco Galli Zugaro ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Aqua Expeditions ที่ต้องการให้เป็นการล่องเรือแบบบูทีค นอกจากนั้นการล่องไปชมธรรมชาติตามแม่น้ำสาขาย่อยโดยใช้เรือสกิ๊ฟ (Skiff) ซึ่งเป็นเรือเล็กท้องแบนติดเครื่องยนต์ก็ทำให้สามารถลัดเลาะไปตามที่ต่างๆ ได้สะดวกไม่ต้องใช้เรือหางยาวเหมือนทัวร์คณะใหญ่ๆ ทั่วไป

การล่องแม่น้ำด้วยเรือสกิ๊ฟที่เป็นเรือยนต์ท้องแบนลำเล็ก ทำให้ซอกซอนไปตามแม่น้ำสาขาของแอมะซอนได้อย่างคล่องตัว

ห้องพักในเรือตกแต่งอย่างเรียบโก้ ใช้วัสดุธรรมชาติ เน้นเตียงนอนที่มีฟูกที่นอนสบาย ไม่นุ่มไม่แข็งมาก อุณหภูมิในเรือจะปรับประมาณกว่า 20 องศาต้นๆ ไม่ว่าฤดูไหน อากาศของแอมะซอน อุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลงสูงหรือต่ำกว่าปกติ เหมือนบ้านเราที่อากาศร้อนตลอดปี ในห้องพักไม่มีโทรทัศน์ เพราะสิ่งที่น่าชมที่สุดอยู่นอกหน้าต่างกระจกใสบานกว้างบนเรือไม่มีสัญญาณไวไฟ แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์จะมีก็ต่อเมื่อเรือเข้าใกล้หมู่บ้านใหญ่ๆ อย่าลืมว่าเราอยู่ในป่าดงดิบ แต่ถ้ามีความจำเป็น สามารถใช้โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมบนเรือได้ ซึ่งเราต้องเสียค่าบริการต่างหาก

ชั้นบนของเรือมีเลานจ์ทั้งแบบในห้องปรับอากาศและแบบรับลมธรรมชาติ เลานจ์นี้จะมีบาร์ที่มีเครื่องดื่มต่างๆ น้ำผลไม้ ชาและกาแฟให้ดื่มตลอดแต่ถ้าเป็นค็อกเทล ก็จะไม่รวมอยู่ในแพ็กเกจเลานจ์ตกแต่งแบบเรียบโก้ เฟอร์นิเจอร์ทำจากหวาย ด้านหัวเรือจะมีบรรยากาศกึ่งกลางแจ้ง มีอ่างจากุซซี่ขนาดย่อมๆ สำหรับคนที่ชอบนวดตัวด้วยสายน้ำมีที่อาบแดดตรงส่วนนี้

การเดินทางบนเรือล่องแอมะซอนของ Aqua Expeditions มีทั้งแบบ 7 วัน 5 วัน และ 3 วัน สอบถามจากนักท่องเที่ยวที่มาโปรแกรม 7 วัน ได้ความว่าไฮไลต์จริงๆ อยู่ที่เส้นทาง 5 วัน โดยกิจกรรมวันแรกของการเดินทาง คือการเดินป่าตอนเช้า โดยลงเรือสกิ๊ฟที่แล่นในน้ำตื้นไปยังป่า เรือสกิ๊ฟแต่ละลำรับผู้โดยสารได้มากที่สุดไม่เกิน 6 คน มีไกด์ประกบลำละ 2 คน

ป่าที่นี่ก็คล้ายๆ ป่าเมืองร้อนบ้านเรา มีต้นสะปงที่รากแผ่ขยายคลุมพื้นที่ ป่าที่นี่มีรังปลวกค่อนข้างเยอะ รังปลวกมีรูปทรงต่างๆ เกาะอยู่กับต้นไม้ ปลวกมีความสำคัญกับระบบนิเวศในป่ามาก ช่วยในกระบวนการย่อยสลายซากพืชต่างๆ ร่วมกับเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด ทำให้กลายเป็นปุ๋ยหรือฮิวมัส (Humus) ในดิน ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารในดิน สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ดินในป่า คนพื้นเมืองที่นี่ใช้ปลวกในการบำบัดโรคบางชนิด กลิ่นของมันที่มีความฉุนช่วยรักษาอาการหอบหืด คนท้องถิ่นที่นี่จะไม่ทำลายจอมปลวกตามดินหรือรังปลวกตามต้นไม้

เรามาป่าช่วงน้ำลด ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีดอกกล้วยไม้ให้เห็น ส่วนสับปะรดสี (Bromeliad) ก็มีบ้าง แต่มีเฉพาะดอกสีแดงอยู่บนคาคบไม้สูงๆจริงๆ แล้วช่วงเวลามรสุมน้ำหลากท่วมสูงนั้น คือช่วงเวลาที่น่ามาเที่ยวป่าแอมะซอน เพราะเรือจะลัดเลาะเข้าไปในพื้นที่ต่างๆ ได้ ไม่ใช่ฤดูน้ำลดหรือฤดูแล้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อมองแนวคราบสีดำที่บ่งบอกระดับน้ำที่ท่วมซึ่งปรากฏอยู่ตามลำต้นไม้ ทำให้ทราบว่าน้ำขึ้นสูงมากระดับหลายเมตรเลยทีเดียว

นกแก้วมาคอว์ส่งเสียงอยู่บนยอดไม้ แต่เรามองหาไม่เจอ มาที่นี่ได้ยินเสียงนกมาคอว์จนจำได้ บ่ายแก่ๆ เรามาลงเรือสกิ๊ฟอีกครั้ง เพื่อล่องไปดูสัตว์ตามริมฝั่งแม่น้ำสายย่อยๆ แดดเริ่มจะเป็นสีทองอ่อนๆ

MORNING GLORY

15. ท่าเรือริมตลาดเมืองเนาต้าคึกคักเสมอ นอกจากเป็นตลาดแล้ว ยังเป็นชุมทางเรือที่จะไปสู่หมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ

16. ปลาที่ขายในตลาดจะบั้งเป็นรอยถี่ๆ เพราะมีก้างเยอะ เมื่อนำไปต้มจะทำให้ก้างเปื่อยรับประทานได้เลย

ABUNDANCE OF AMAZON

17. ปลาหลากหลายชนิด คือผลผลิตของแอมะซอนที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก

18. ปลาปิรันยามีฟันที่คมและกรามที่แข็งแรง จึงเป็นปลาที่อันตรายมากของแอมะซอน

COLOURS OF LIFE

19. ที่นี่ยังใช้เรือแจวในการสัญจร เรือเก่าบางลำถูกนำมาทิ้งที่โรงไม้ เพื่อแปรรูปและนำไม้กลับมาใช้ใหม่

20. ชาวบ้านจับปลามารับประทาน และบ่นว่าปลาในแม่น้ำเริ่มมีน้อยลงไปทุกปี เพราะสภาวะโลกร้อน

DAWN OF THE DAY

21. ผู้หญิงพื้นเมืองพายเรือรับจ้างพานักท่องเที่ยวล่องในทะเลสาบ ที่เกิดขึ้นเมื่อน้ำลดแล้วปากแม่น้ำตื้นเขิน ทำให้ส่วนนี้กลายเป็นทะเลสาบใหญ่ในยามกลางวัน

22. ยามรุ่งอรุณที่ทุกอย่างสงบนิ่ง มีแต่ฝูงนกและสัตว์ริมแม่น้ำที่เริ่มออกหาอาหาร

เวลาเรือแล่นเร็วๆ ก็เย็นสบายเพราะสายลม ริมฝั่งในป่ามีฝูงลิงตัวจ้อยๆ เท่าฝ่ามือเยอะแยะไปหมด พวกมันไต่เก็บกินลูกไม้ตามต้นไม้ แต่ไกลออกไปมีเสียงลิงกูอาริบา ที่ไกด์บอกว่าเป็นจอมวายร้าย อย่าได้เข้าไปใกล้เชียวแต่เราเห็นพวกมันอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กำลังกินผลลูกกระสุนปืนใหญ่ (Cannonball Tree) คนพื้นเมืองไม่กินผลไม้นี้ แต่เอาเนื้อข้างในมาทำเป็นยา

ยิ่งย่ำเย็นฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดงแล้วยิ่งเข้มขาบขึ้นตามความมืดที่โรยตัวมาช้าๆส่วนก้อนเมฆเป็นสีชมพูจัด เหมือนมีแสงสีชมพูสาดมาจากด้านหลังก้อนเมฆ นี่เองคือท้องฟ้ายามเย็นของแอมะซอนที่เล่าขานกันว่างดงามเหลือเกิน

เช้าวันต่อมา เรานั่งเรือสกิ๊ฟเข้าสู่ปากแม่น้ำ Samiria และพื้นที่ Pacaya-Samiria National Reserveซึ่งเป็นป่าสงวน ธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำนี้ได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแห่งแอมะซอนมากที่สุดในเปรู เราเห็นฝูงนกกระสาที่ทำรังอยู่บนต้นไม้สูง รวมทั้งนกที่สืบสายมาจากนกดึกดำบรรพ์อย่างนก Hoatzin เกาะกิ่งไม้ริมฝั่งน้ำอยู่เป็นฝูงๆ ซึ่งหาดูได้ยาก แต่จะมีเฉพาะที่ตรงนี้เท่านั้น

นกเหยี่ยว Aplomado Falcon นก Black Caracara มีให้เห็นเรื่อยๆ ตามรายทาง สังเกตว่ายามเช้าเหล่านกทั้งหลายจะออกมาโชว์ตัวเกาะตามต้นไม้ริมแม่น้ำกันมากมาย นกฮัมมิ่งเบิร์ดสีสวยๆ ไม่กลัวคน โฉบไปมาใกล้ๆ เรือ เหยี่ยว Harpy Eagle ที่กางปีกโผโฉบไปมามีลายขนสวยมาก ใครชอบดูนก ต้องหลงใหลสถานที่นี้ จริงๆ เขาให้เตรียมกล้องส่องดูนกมาด้วย แต่มาเช่าบนเรือใช้ตลอดการเดินทางก็สะดวกดี

เช้านี้เรายังโชคดีที่ได้เห็นงูอนาคอนด้าหรืองูเหลือมยักษ์ ไกด์ของเราไม่สัญญาว่าจะได้เห็นงูอนาคอนด้าหรือเปล่า แต่เมื่อขับเรือเข้าไปริมฝั่งที่มีผักตบลอยเป็นแพ ไกด์ก็ชี้ให้ดูว่าเห็นอนาคอนด้าไหม ไม่มีใครมองเห็น เขาส่งวิทยุเรียกเรือสกิ๊ฟอีก 2 ลำไกด์ทั้ง 6 คนช่วยกันลงไปจับงูที่อยู่ริมน้ำขึ้นมา ไกด์บอกว่ามันบาดเจ็บ มีแผลเหวอะตรงลำตัว เขาจะเอายาใส่ให้ เป็นผงเหลืองๆ คิดว่าน่าจะเป็นยาซัลฟา งูอนาคอนด้ายาวเกือบ 10 เมตร เป็นตัวเมียที่ขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะยังเป็นงูวัยรุ่น มีกฎว่าสามารถจับงูขึ้นมาได้แต่ไม่นานเกิน 20 นาที จะต้องปล่อยลงริมตลิ่ง เพราะไม่อย่างนั้นงูจะช้ำมือ ไกด์ของเราบอกว่า พวกเขามีหน้าที่ดูแลสัตว์ทั้งหลายในป่า และก็อยากให้คนที่มาเที่ยวแอมะซอนได้เห็นสัตว์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด

ไกด์เหล่านี้คือ คนที่มีครอบครัวซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาก่อน ดังนั้นครูคนสำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือพ่อของพวกเขานั่นเอง ผู้ซึ่งจะถ่ายทอดวิชาการดำรงชีวิตในป่าให้ เมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองอย่างอิกีโตส วิถีชีวิตก็จะเปลี่ยนไป พวกเขาจะกลับมาอยู่ในป่าเช่นคนรุ่นพ่อไม่ได้ แต่ทำหน้าที่เป็นไกด์ในเชิงอนุรักษ์เช่นนี้ได้

ระหว่างแวะจอดเรือเพื่อปิกนิกรับประทานมื้อเช้าก็มีฝูงลิงคาปูชิน (Capuchin Monkey) หางยาวๆตัวน้อยๆ มาเล่นเอาล่อเอาเถิดอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆระหว่างทางได้เห็นสับปะรดสีบนต้นไม้สูงๆ ที่ออกช่อดอกสีแดงสวยหลายแห่ง มีต้นหนึ่งที่มีสับปะรดสีเกาะแน่นจนดูเหมือนสวมเสื้อคลุม บนต้นไม้สูงมีตัวสลอธ (Sloth) มันนั่งชมวิวด้านบนอย่างสบายๆ เพราะต้นไม้นั้นสูงมาก ไม่มีอะไรไปรบกวนสลอธเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้ามาก แต่ทุกวันจะไต่ลงมาจากต้นไม้ที่เกาะอยู่เพื่อการขับถ่ายหนึ่งครั้ง

เราไปแวะที่บ้านชาวบ้านหลังหนึ่งเพื่อดูโลมาสีชมพู ที่ตรงนี้เป็นเหมือนจุดแยกของแม่น้ำ มีสันดอนสามเหลี่ยมกลางแม่น้ำ เขาปลูกบ้านใต้ถุนสูงอยู่ริมฝั่ง เพื่อช่วงน้ำหลาก น้ำจะได้ไม่ท่วมถึง ได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดเหมือนวัวดังมาจากแม่น้ำ โลมาสีชมพูที่รู้ว่าคนต้องมาชมโผล่ขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ว่ายไปไหนไกล ก็จะโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ มันไม่ได้ขี้เล่นเหมือนฝูงโลมาในทะเล เห็นตัวเป็นสีชมพูดำผุดดำว่ายแค่พริบตา โลมาสีชมพูนี้มีที่แอมะซอนที่เดียว

บ่ายวันนี้มีกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น คือการไปตกปลาปิรันยา ปลาที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชฌฆาตแห่งลุ่มน้ำแอมะซอน เป็นการตกแล้วปล่อย เรือจอดริมตลิ่งที่น้ำนิ่งๆ เกี่ยวเนื้อไก่ที่หั่นเป็นชิ้นๆ กับตะขอเบ็ด จุ่มลงในน้ำ ชั่วไม่ถึง 1 นาที สายเบ็ดก็จะกระตุก ดึงขึ้นมาจะเป็นปลาปิรันยาตัวย่อมๆ แรกๆ คนบนเรือจะตกใจกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ปลาแต่ไกด์บอกว่า ปลาถูกเบ็ดเกี่ยวอยู่ ไม่เป็นไรแล้วค่อยจับตัวปลาปลดเอาตะขอออก เขาให้เราดูฟันรูปสามเหลี่ยมแหลมคมของปิรันยา กล้ามเนื้อที่กระพุ้งแก้มของมันแข็งแรงมาก สามารถรุมกินวัวที่ตกไปในน้ำเป็นตัวๆ ได้

ถามว่าถ้าเราตกลงไปในน้ำ แต่ไม่มีบาดแผลหรือเลือดไหล จะเป็นอะไรหรือเปล่า ไกด์บอกว่าปลาพวกนี้ก็ขี้ตื่น มันจะไม่เข้ามารุมกัด แต่จะหนี นอกจากมีเลือดหรือบาดแผล กลิ่นเลือดก็จะเรียกให้พวกมันเข้ามา ปลาปิรันยาจะเป็นอาหารของปลาตัวใหญ่ในแม่น้ำ นากยักษ์ โลมาสีชมพู นกกินปลาต่างๆ ฯลฯ พวกมันจึงมักอยู่รวมกันเป็นฝูง

วันนี้เรากลับไปรับประทานอาหารเย็นค่ำหน่อย เพราะจะรอดูจระเข้เคแมน จะบอกว่าตะโขงก็ไม่ใช่ เพราะเป็นจระเข้ตัวเล็กๆ ต้องรอให้มืด เลยได้ชมพระอาทิตย์ตกที่ลากูน ท้องฟ้าสวยเช่นเคย และสวยแปลก เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามา ไฟบนเรือสาดไปที่ริมตลิ่ง จะเห็นดาวนับร้อยๆ ดวงส่องสว่าง แต่ไม่กะพริบเหมือนแสงดาว นั่นคือดวงตาของจระเข้เคแมนที่สะท้อนกับแสงไฟ เป็นภาพที่ประทับใจจริงๆ

เรือได้วกกลับไปที่เนาต้า ระหว่างทางเราได้ไปเยือนหมู่บ้านเพื่อจะดูว่าชาวพื้นเมืองแอมะซอนในเปรูมีความเป็นอยู่อย่างไร เราเตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด กระดาษต่างๆ รวมทั้งเสื้อยืดที่จะมอบให้เด็กๆในหมู่บ้าน แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมมา ในห้องจำหน่ายของที่ระลึกในเรือมีอุปกรณ์ยังชีพบรรจุถุงผ้าขาย รวมทั้งสมุดและเครื่องเขียนต่างๆ จะซื้อจำนวนกี่ชุดก็ได้

ในถุงยังชีพมีเกลือป่น 1 ถุง ตะขอเบ็ดตกปลาสายเอ็นเบ็ด ไม้ขีดไฟ ฯลฯ เกลือคือสิ่งล้ำค่าของคนในป่าแอมะซอน ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้บริโภคเกลือไอโอดีนเพื่อป้องกันโรคคอหอยพอก พวกเขามีไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟ แต่ไม่ได้มีใช้ฟุ่มเฟือย จึงไม่มีตู้เย็น อาหารประเภทปลาและเนื้อสัตว์จะใช้กรรมวิธีคลุกเกลือเพื่อเก็บไว้รับประทานได้นาน เกลือจึงเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับเด็กๆ ไม่ได้มีกระดาษสมุดให้เขียนฟุ่มเฟือยพวกเขาจึงดีใจที่จะมีอุปกรณ์เครื่องเขียน

เมื่อเรือกลับมาถึงเนาต้า ในเช้าวันรุ่งขึ้น มีโอกาสไปเที่ยวตลาดของเมืองที่แสนจะคึกคัก มีปลาหน้าตาแปลกๆ ที่จับมาจากแม่น้ำมาวางขาย คนที่นี่บริโภคโปรตีนจากปลาเป็นหลัก และก่อนจะไปถึงสนามบินเพื่อบินกลับ ไกด์ได้พาเราแวะไปที่ Amazonian Manatee Rescue ซึ่งเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ในแอมะซอน ที่นี่เป็นศูนย์อนุบาลสัตว์ที่บาดเจ็บ จะด้วยการกระทำของมนุษย์หรือธรรมชาติก็ตาม ไม่ใช่แค่พะยูน (Manatee) ดังชื่อของศูนย์ มีบ่ออนุบาลสัตว์ต่างๆ มีนาก จระเข้เคแมน เต่าชนิดต่างๆ และมีบ่ออนุบาลพะยูนที่ได้รับบาดเจ็บ บางตัวโดนเชือกอวนบาดครีบเป็นแผลลึก บางตัวก็โดนมนุษย์ทำร้ายเพราะความคะนองมีบ่อใหญ่ให้เราให้อาหารพะยูนด้วย นอกจากนี้ยังมีการเล่าเรื่องความสำคัญของป่าและพืชพันธุ์ไม้ต่างๆในลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศเปรู ที่นี่เน้นให้ความรู้กับเด็กๆ แม้จะเป็นวันอาทิตย์ก็มีคณะเด็กๆ จากโรงเรียนต่างๆ แวะเข้ามาชมเรื่อยๆ

การเดินทางครั้งนี้นอกจากได้สัมผัสชีวิตในธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เห็นความงดงามของแม่น้ำแอมะซอนในเวลาต่างๆ ทริปนี้ยังได้สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ผืนป่าและธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนต้องช่วยกันหวงแหนไม่ว่าจะเป็นผืนป่าที่ไหน เพราะท้ายที่สุด มนุษย์ก็ยังต้องอยู่ภายใต้พลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เสมอ

DESTINATION

*ดูรายละเอียดการเดินทางได้ที่ World Surprise Travel (www.worldsurprise.com) หรือ www.aquaexpeditions.com

Leave a Reply