Lifestyle

LIFESTYLE
ในวันที่โลกภาพยนตร์กลับมาหมุนอีกครั้ง
และแล้วเราจะได้ดูหนังที่รอมานาน (เสียที)

By 28 September 2021 No Comments

ในวันนี้การดูหนังผ่านสตรีมมิงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไปแล้ว เพราะไม่เพียงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามามีบทบาทจนส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค แต่โควิด-19 ก็เป็นดั่งตัวเร่งให้วันที่โรงหนังไม่ใช่สถานที่เดียวสำหรับการชมภาพยนตร์เรื่องโปรดมาถึงเร็วขึ้น เราจึงเห็นสตูดิโอมากมาย “ตั้งใจ” สร้างและส่งหนังของพวกเขาลงสตรีมมิงโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่การออกนอกบ้านยังไม่ค่อยสะดวกนัก

แต่ก็อย่างที่หลายคนบอก “โรงหนังไม่มีวันตาย” ทำให้พอสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศเริ่มดีขึ้น กิจกรรมต่างๆ สามารถกลับมาจัดได้บ้าง บรรยากาศที่ห่างหายไปในช่วงที่โลกราวกับจะหยุดหมุนเมื่อปีก่อน อย่าง “เทศกาลภาพยนตร์” จึงทยอยกลับมาจัดกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Cannes Film Festival, Venice International Film Festival หรือ Toronto International Film Festival โดยหนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์ประจำเทศกาลภาพยนตร์ก็คือการฉายเปิดตัวเป็นครั้งแรก ซึ่งก็มีหนังหลายเรื่องที่เราควรจะได้ดูไปตั้งนานแล้ว แต่กลับถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ให้เรารอแล้วรออีกมาจนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตามถือเป็นสัญญาณที่ดีที่การรอคอยทำท่าว่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า และเราน่าจะได้ดูหนังหลายเรื่องที่เฝ้ารอมานานเหล่านี้กันเสียที

Dune

ภาพยนตร์มหากาพย์ไซ-ไฟฟอร์มยักษ์ที่สร้างมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อเดียวกันนี้ เพิ่งจะได้ฤกษ์ฉายเป็นครั้งแรกในงาน Venice International Film Festival ครั้งที่ 78 เมื่อต้นเดือนกันยายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมเกือบ 1 ปีเต็ม โดยก่อนหน้านี้ Dune เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วในปี 1984 และในเวอร์ชันล่าสุดด้วยทุนสร้างมหาศาลพร้อมกับการประกาศรายชื่อนักแสดงชั้นนำที่ขนกันมาเกือบทั้งฮอลลีวูด ไม่ว่าจะเป็น Timothée Chalamet, Rebecca Ferguson, Oscar Isaac, Zendaya, Javier Bardem ฯลฯ ทำให้ Dune กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้คนต่างรอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ด้านงานภาพก็หายห่วงเพราะผู้กำกับ Denis Villeneuve นั้น เคยทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาแล้วทั้งใน Sicario (2015), Arrival (2016) และ Blade Runner 2049 (2017) ในส่วนของเนื้อหานั้นเป็นเรื่องของการตั้งรกรากใหม่ของมนุษย์ในโลกอนาคต ที่มีการต่อสู้แย่งชิงดวงดาวและดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งแม้นิยายต้นฉบับจะแต่งไว้ตั้งแต่ปี 1965 แต่ก็ยังเต็มไปด้วยแง่มุมที่ทันสมัย จับต้องได้ จนทำให้ขึ้นหิ้งนิยายไซ-ไฟคลาสสิกทรงคุณค่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างที่ Arthur C. Clarke นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อก้องเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าจะมีสักเรื่องที่พอจะสูสีกับ Dune ก็คงจะเป็น Lord of the Rings”

House of Gucci

Lady Gaga ไม่เพียงเป็นศิลปินนักร้องที่มีคาแรกเตอร์จัดจ้านที่สุดคนหนึ่งในวงการ เพราะที่ผ่านมาเธอยังได้พิสูจน์ให้เห็นฝีมือและความเป็นเลิศทางการแสดงหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born (2018) มาแล้ว ว่ากันว่านี่เป็นอีกครั้งที่เธออาจจะคว้ารางวัลอันทรงเกียรติไปครอบครอง จากการรับบทสำคัญในภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า House of Gucci

House of Gucci ดัดแปลงมาจากหนังสือ The House of Gucci: A Sensational Story of Murder, Madness, Glamour and Greed ที่เล่าถึงเรื่องราวคดีฆาตกรรมสะเทือนโลกแฟชั่นในปี 1995 เมื่อ Maurizio Gucci ทายาทรุ่นที่ 3 ของแบรนด์ Gucci ถูกยิงเสียชีวิต โดยมี Patrizia Reggiani อดีตภรรยา (รับบทโดย  Lady Gaga) ที่หย่าร้างกันไปเป็นผู้จ้างวานฆ่า แน่นอนว่าเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นที่ชวนให้ติดตาม บวกกับนักแสดงระดับแม่เหล็กของวงการอย่าง Adam Driver, Jared Leto, Salma Hayek และ Al Pacino ทำให้ House of Gucci กลายเป็นหนึ่งในหนังที่หลายคนรอดูอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญงานนี้สายแฟ (ชั่น) ห้ามพลาด เพราะคอสตูมในหนังได้รับการยืนยันว่าได้รับอนุญาตให้ใช้ชุดจากอาร์ไคฟ์ของ Gucci รวมไปถึงอีกหลายแบรนด์ดังที่จะปรากฏให้เห็นกันแบบจัดเต็มเลยทีเดียว

The French Dispatch

เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีลายเซ็นชัดเจนอีกคนหนึ่งสำหรับ Wes Anderson ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ทำให้เราตื่นเต้นได้ทุกเมื่อ อย่างหนังเรื่องล่าสุด The French Dispatch ที่เพิ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่ Cannes Film Festival ก็เป็นไปตามคาด เมื่อคนดูพร้อมใจกันยืนปรบมือให้หลังจากหนังจบยาวนานต่อเนื่องถึง 9 นาทีเลยทีเดียว

The French Dispatch เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงหนังสือพิมพ์อเมริกันที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยที่ทาง Wes Anderson ได้นิยามหนังเรื่องนี้ว่าเป็นดั่งจดหมายรักที่มอบให้กับสื่อมวลชนทุกคน และขึ้นชื่อว่า “หนังเวส” ย่อมไม่มีอะไรธรรมดา แน่นอนว่ายังคงจัดจ้านไปด้วยสีสัน การจัดองค์ประกอบ อารมณ์ขันอย่างมีชั้นเชิง และที่ขาดไม่ได้คือการแสดงอันยอดเยี่ยมของเหล่านักแสดงคู่บุญที่แฟนๆ ต่างคิดถึง ไม่ว่าจะเป็น Adrien Brody, Owen Wilson, Tilda Swinton, Benicio del Toro, Frances McDormand, Bill Murray รวมไปถึง Timothée Chalamet ที่รายหลังนี้อาจพูดได้ว่านี่คงเป็นยุคทองของหนุ่มหน้ามนฝีมือดีคนนี้จริงๆ

Last Night in Soho

นาทีนี้คงไม่มีคอหนังคนไหนไม่รู้จัก Anya Taylor-Joy ที่เพิ่งแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบทนักหมากรุกอัจฉริยะในซีรีส์ The Queen’s Gambit และใน Last Night in Soho หนังระทึกขวัญผลงานล่าสุดของผู้กำกับชาวอังกฤษ Edgar Wright นี้ น้องก็ยังคงมาพร้อมกับบทบาทการแสดงที่เข้มข้นเช่นเคย

Last Night in Soho เล่าถึง Eloise เด็กสาวคนหนึ่งที่หลงใหลในแฟชั่นเป็นอย่างมากจนได้ไปใช้ชีวิตที่ลอนดอน และด้วยสัมผัสที่ 6 ทำให้เธอฝันว่าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงยุค 60 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อังกฤษได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของพ็อปคัลเจอร์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง สตรีตแฟชั่น และวิถีชีวิตของวัยรุ่นที่สุดโต่งเสียจนมีคำกล่าวว่า “ผู้ใดบอกเล่าเรื่องราวในยุค 60 ได้ ผู้นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตในยุค 60” เลยทีเดียว ที่นั่นเธอได้เข้าไปอยู่ในร่างของ Sandie (รับบทโดย  Anya Taylor-Joy) นักร้องชื่อดังของไนต์คลับ ซึ่งเธอยกย่องให้เป็นไอดอลและคิดว่านี่แหละคือชีวิตที่เธอใฝ่ฝันมาโดยตลอด แต่แล้วเธอกลับพบว่ามันไม่ได้ “Glam” อย่างที่คิด

No Time to Die

นี่คือแฟรนไชส์หนังสายลับอันดับ 1 ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่ที่ Sean Connery รับบทพยัคฆ์ร้าย 007 เป็นคนแรกใน Dr. No (1962) เป็นต้นมา และล่าสุด No Time to Die การสวมบทบาทเป็น เจมส์ บอนด์ ภาคที่ 5 และภาคสุดท้ายของ Daniel Craig ก็มาถึง ซึ่งหลังจากจำเป็นต้องเลื่อนฉายมาแล้วหลายครั้ง ในที่สุดก็มีประกาศว่าจะทำการฉายรอบปฐมทัศน์ในเดือนตุลาคม 2021 นี้ ที่ Royal Albert Hall แค่สถานที่ก็ “เจมส์ บอนด์” สุดๆ ไปเลย

ย้อนกลับไปตอนที่โลกรู้ว่า Daniel Craig จะมารับบทสายลับขวัญใจแฟนๆ ทั่วโลกต่อจาก Pierce Brosnan หลายคนอาจจะยังจำกันได้ว่าเกิดกระแสต่อต้านมากแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าแฟนบอนด์ส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยเปิดกว้างนัก ใครจะมารับบทในดวงใจของพวกเขาย่อมต้องเจอเรื่องนี้เป็นธรรมดา ซึ่งคาแรกเตอร์ของ Daniel Craig เองก็พูดได้ว่าแตกต่างจากบอนด์คนก่อนๆ มากพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เจมส์ บอนด์ ไม่ต้องมีผมสีดำ เจมส์ บอนด์ ก็กล้ามใหญ่ได้ และไม่จำเป็นต้องสั่ง “วอดก้า มาร์ตินี่ เขย่า แต่ไม่ต้องคน” ไปเสียทุกครั้ง มาถึงวันนี้เราสามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า Daniel Craig คือ เจมส์ บอนด์ ที่เรารักคนหนึ่ง และเราเฝ้ารอเขามานานแค่ไหน พร้อมๆ กับความรู้สึกใจหายเมื่อนึกได้ว่า เจมส์ บอนด์ คนต่อไปจะไม่ใช่เขาอีกแล้ว

LIFESTYLE

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.imdb.com/
https://en.wikipedia.org/