เทศกาลฮาโลวีนปีนี้กลับมามีสีสันอีกครั้ง หลังจากที่สถานการณ์หลายๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ในส่วนของเทรนด์แฟชั่นและการแต่งกายก็มีความหลากหลายมากกว่าปีก่อนๆ ที่เน้นไปที่ความน่ากลัวเป็นหลัก ทำให้ปาร์ตี้ฮาโลวีน 2021 ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ทว่านอกจากกิจกรรมอย่างการแต่งกาย การประดับประดาตกแต่งสถานที่ หรือการเล่นทริกออร์ทรีตของเด็กๆ แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการชวนเพื่อนๆ มานั่งล้อมวงดูหนังกันสักเรื่อง Power จึงอยากชวนคุณมาดูหนังกันในเทศกาลฮาโลวีนนี้ เพื่อเติมเต็มบรรยากาศของเทศกาลให้คลาสสิกสุดๆ ถ้าพร้อมแล้วก็จัดแจงเตรียมขนมขบเคี้ยวให้พอ หรี่ไฟลงสักหน่อย ล็อกประตูหน้าต่างให้มิดชิด ที่สำคัญอย่ารับโทรศัพท์เป็นอันขาด ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการดูหนังก็เท่านั้นเอง Scream (1996) ไม่มีหนังสยองขวัญในยุค 90 เรื่องไหนจะสร้างปรากฏการณ์อันน่าตื่นตะลึงไปกว่า Scream ได้อีกแล้ว เรื่องราวของฆาตกรโรคจิตภายใต้หน้ากากผีกับการตามล่าเหยื่อวัยรุ่นทีละคนนี้ ได้กลายมาเป็นต้นแบบของหนังสยองขวัญในเวลาต่อมาอีกนับไม่ถ้วน ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ถือว่ามีความแปลกใหม่ในยุคนั้น การที่คนดูต้องคอยลุ้นว่าตัวจริงของคนร้ายเป็นใคร โทรศัพท์ปริศนาที่ทำให้ต้องสะดุ้งทุกทีที่ดังขึ้น รวมถึงใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ล้วนแล้วแต่ทำให้คนดูต้อง “หวีดสุดขีด” สมชื่อเรื่อง ความสำเร็จของภาคแรก ทำให้มีการสร้างภาคต่อออกมาอีกในปี 1997, 2000 และ 2011 โดยล่าสุดได้มีข่าวว่า Scream กำลังจะกลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันรีบูต ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของทั้งนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น Dylan Minnette (13 Reasons Why), Mason Gooding (Let It Snow) และ Mikey Madison (Once Upon a Time... in Hollywood) กับนักแสดงชุดคลาสสิกอย่าง Neve Campbell, Courteney Cox และ David Arquette เหล่าตัวละครดวงแข็งที่อยู่กับเรามาตลอด 25 ปีนี้ The Blair Witch Project (1999) ครั้งหนึ่ง Stephen King เจ้าพ่อนิยายสยองขวัญชื่อดังเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมอยู่ในโรงพยาบาลในสภาพมึนยา ลูกชายก็ได้คะยั้นคะยอให้ดูหนังเรื่องหนึ่งให้ได้ แต่หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งเรื่อง ผมก็ต้องบอกลูกว่า ‘ปิดมันซะ’ มันน่ากลัวเกินไป” และหนังที่เขาดูในวันนั้นก็คือ The Blair Witch Project The Blair Witch Project เป็นหนังทุนต่ำแนวสารคดี ว่าด้วยวัยรุ่น 3 คนที่พยายามเข้าไปตามรอยตำนานแม่มดแบลร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กๆ ในเมืองตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากความโดดเด่นในการนำเสนอ อย่างการใช้ภาพจากกล้อง Handycam ที่ถ่ายโดยตัวละครตลอดทั้งเรื่องแล้ว (แน่นอนว่าภาพจึงมีความสั่นไหว ไม่ชัดเจน จนน่ากลัวไปอีกแบบ) สิ่งที่ทำให้ The Blair Witch Project ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามก็คือตำนานแม่มดที่ว่านี้ เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อการตลาดเท่านั้น ด้วยทุนสร้างเพียงหลักหมื่นดอลลาร์ อย่าว่าแต่ทำหนังให้ดังเลย แค่ทำหนังให้เป็นหนังสักเรื่องก็ยังยาก ซึ่งทีมงานรู้ดีถึงข้อจำกัดนี้ แต่สิ่งที่พวกเขามีมากกว่าเงินก็คือความบ้าบิ่นเกินกว่าใครในโลกของภาพยนตร์ พวกเขาจึงตัดสินใจใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการสร้างสารคดีเกี่ยวกับแม่มดปลอมขึ้นมา เช่าเวลาไปฉายในรายการทีวี เสริมความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับแม่มดที่ว่านี้ ออกประกาศคนหาย (ซึ่งก็คือตัวละครในหนัง) จากนั้นก็ได้แถลงว่าพบฟุตเทจจากกล้องวิดีโอนั้น และมันกำลังกลายมาเป็นหนังเรื่องนี้ ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ถ้ามันเป็นการจัดฉาก ทำไมภาพในหนังหรือการแสดงถึงได้ดูสมจริงขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะว่านักแสดงเหล่านั้นก็แทบไม่รู้อะไรเลยพอๆ กับเรา และเสียงแปลกๆ ในป่า ก็เกิดจากทีมงานที่ไปแกล้ง ในขณะที่บางเสียงก็ไม่รู้ที่มาเหมือนกัน Harry Potter (2001) ฮาโลวีนทั้งทีก็ต้องดูหนังแม่มดสิ…
Editor26 October 2021