BeautyBeauty 123FeatureGrooming StoryNumber 123

Grooming Story: Head-Turning Scents

By 7 August 2018 No Comments

HEAD-TURNING SCENTS

FASHION EDITOR

SANSHAI
JIRAT SUBPISANKUL

PHOTOGRAPHER

AEKARAT UBONSRI

STORY

PILAN SRIVEERAKUL

เข้าใจน้ำหอมให้มากขึ้นอีกนิด เลือกน้ำหอม ฉีดน้ำหอมคราวหน้า สาวๆ จะได้แข้งขาอ่อนระทวย

ในปัจจุบันถ้าจะแบ่งประเภทน้ำหอมหรือโคโลญจน์สำหรับผู้ชาย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทง่ายๆ แบบไม่ต้องยึดตามตำราให้วุ่นวาย คือน้ำหอมที่เรียกว่า Designer Cologne และ Niche Cologne

DESIGNER COLOGNE

คือ น้ำหอมที่มีต้นกำเนิดของแบรนด์มาจากสายแฟชั่น ผู้ก่อตั้งแบรนด์เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า และมักจะใช้ชื่อตนเป็นชื่อแบรนด์ เช่น Calvin Klein, Ralph Lauren, Tommy Hilfiger หรือ Tom Ford เป็นต้น ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไม่ใช่นักปรุงน้ำหอมโดยตรง และในแบรนด์นั้นมักมีสินค้ามากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แว่นกันแดด เมกอัพ สกินแคร์ ไปจนถึงน้ำหอม

น้ำหอมประเภทนี้จะเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลด้วยงบโฆษณาที่มากมายมหาศาลและพรีเซ็นเตอร์ชื่อดังระดับโลก เป็นน้ำหอมที่ราคาไม่แพงจนเกินไป เป็นราคาที่คนส่วนใหญ่เอื้อมถึง และเป็นน้ำหอมที่นิยมฉีด นิยมใช้กันมากที่สุดทั่วโลก เพราะกลิ่นเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และเป็นกลิ่นที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ส่วนในเรื่องส่วนผสมที่ใช้ปรุงกลิ่น ก็จะเป็นส่วนผสมที่ใช้กันบ่อยในอุตสาหกรรมน้ำหอม จนทำให้บางทีกลิ่นอาจจะซ้ำกันอยู่บ้าง และความเข้มข้นของหัวน้ำหอมแท้ที่ใช้เป็นส่วนผสมน้อยกว่าน้ำหอมอีกประเภท ทำให้กลิ่นอาจไม่ติดทนนานเท่าน้ำหอมแบบ Niche Cologne ส่วนใหญ่น้ำหอมประเภทนี้จะไม่มีนักปรุงน้ำหอมประจำแบรนด์เป็นเอ็กซ์คลูซีฟของตัวเอง

NICHE COLOGNE

แบ่งย่อยได้เป็น 2 ประเภท ประเภทแรก คือยุคคลาสสิก เป็นแบรนด์น้ำหอมที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงน้ำหอมโดยตรง ผู้ก่อตั้งแบรนด์มักเป็นนักปรุงน้ำหอมแต่กำเนิด เป็นแบรนด์น้ำหอมเก่าแก่ของโลก ที่ปรุงน้ำหอมสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เช่น Creed, 4711, Penhaligon หรือ Acqua di Parma กลิ่นจะคลาสสิกและลักชัวรี ไม่หวือหวาไปตามเทรนด์ ส่วนอีกประเภทคือยุคโมเดิร์น เป็นแบรนด์น้ำหอมที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงน้ำหอมเช่นกัน แต่อาจไม่ใช่แบรนด์ที่ก่อตั้งโดยตระกูลนักปรุงน้ำหอมโดยตรง กลิ่นจะลักชัวรีและมีความหอมแพงเช่นกัน แต่กลิ่นจะมีความทันสมัยกว่า และเข้าใจง่าย Niche Cologne จากยุคโมเดิร์น  ยกตัวอย่าง เช่น Jo Malone, Diptyque, Bond No.9, Atelier Cologne หรือ Le Labo แต่ไม่ว่าจะยุคคลาสสิกหรือยุคโมเดิร์น น้ำหอมทั้งสองประเภทก็มีจุดร่วมเดียวกัน คือส่วนผสมที่หายาก มีราคาแพง และความเข้มข้นของหัวน้ำหอมแท้ที่ใช้เป็นส่วนผสมมีปริมาณมากกว่าน้ำหอมแบบ Designer Cologne กลิ่นจึงหอมติดทนนานกว่า และด้วยต้นทุนในการผลิตที่สูง ทำให้ราคาของ Niche Cologne สูงตามไปด้วย น้ำหอมประเภทนี้ไม่เน้นการลงทุนในเรื่องของงบโฆษณา ไม่เน้นการใช้พรีเซ็นเตอร์ แต่เน้นการลงทุนในเรื่องของกรรมวิธีการปรุง การผลิต และวัตถุดิบราคาสูงที่ใช้เป็นส่วนผสม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่ากลิ่นที่ได้จะมีความหอมแพงและลักชัวรีสมราคา

EDITOR’S PICK

LE LABO

Santal 33 (50ml 6,015 Baht)
โดดเด่นด้วยกลิ่นของดอกไอริสและไวโอเล็ต ที่ตัดด้วยความขมเบาๆ ของกลิ่นควันบุหรี่ ผสานด้วยกลิ่นของหนัง เครื่องเทศ และมัสก์ ได้โคโลญจน์ที่มีความยูนิเซ็กซ์ ฉีดแล้วเท่ มีเสน่ห์จนผู้หญิงทุกคนต้องเหลียวหลัง

ATELIER COLOGNE

Clémentine California (100ml 4,750 Baht)
หอมสดชื่นอารมณ์ดีราวกับวันที่ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น ด้วยกลิ่นผลส้มจากแคลิฟอร์เนีย ผสานความเปรี้ยวสดใสของผลเบอร์รี่ ตัดกับความเผ็ดร้อนของพริกไทยเสฉวนจากจีน และใบเบซิลจากอียิปต์ ตบท้ายด้วยความอบอุ่นของแซนดัลวูดและเวติเวอร์

JO MALONE

Basil & Neroli Cologne
(30ml 2,210 Baht / 100ml 4,420 Baht)
หอมสะอาดสดชื่นด้วยกลิ่นฟลอรัลของเนโรลีที่ไม่ธรรมดา และกลิ่นชวนหลงใหลของใบเบซิล สะท้อนความร่าเริง สนุกสนานทุกช่วงเวลา และเต็มไปด้วยการผจญภัย

ในปัจจุบันถ้าจะแบ่งประเภทน้ำหอมหรือโคโลญจน์สำหรับผู้ชาย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทง่ายๆ แบบไม่ต้องยึดตามตำราให้วุ่นวาย คือน้ำหอมที่เรียกว่า Designer Cologne และ Niche Cologne

SCENT OF STYLE

ส่วนในเรื่องของแนวกลิ่นหรือโทนของกลิ่นหอมสำหรับผู้ชายนั้น แบ่งได้หลักๆ ดังนี้คือ

WOODY: เป็นโทนกลิ่นที่มีความอบอุ่น มักเป็นกลิ่นของไม้หอมอย่างซีดาร์ แซนดัลวูด หรือเวติเวอร์

SPICES: หรือเครื่องเทศ เป็นโทนกลิ่นที่มีความเผ็ดร้อนและอบอุ่นในตัวมักเป็นกลิ่นของซินนามอน พริกไทย นัทเม็กและโคลฟ

FLORAL: โทนกลิ่นดอกไม้ที่ใช้ในน้ำหอมผู้ชายจะเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นสดชื่น ไม่อบอวล และไม่หวานจนเกินไป เช่น ไอริส ไลแลค และดอกส้มหรือเนโรลี

GREEN: คล้ายโทนกลิ่นแบบฟลอรัล แต่มีความสดชื่นกว่า โดยการผสมกลิ่นของหญ้าเขียว มอส เฟิร์น และใบไม้เข้าไป ส่วนใหญ่จะกลิ่นเหมือนหญ้าตัดใหม่ในสวนตอนเช้า

LEATHER/TOBACCO: เป็นโทนกลิ่นที่มีความมาสคิวลีนและเซ็กซี่ที่สุด เด่นด้วยการใช้กลิ่นของหนัง ใบยาสูบ ซิการ์ วิสกี้หรือบางครั้งบางแบรนด์อาจนำเครื่องเทศและไม้หอมเข้ามาผสม

CITRUS: เป็นแนวกลิ่นสดชื่นของผลไม้รสเปรี้ยว อย่างผลมะนาวซิซิเลียนจากอิตาลี เบอร์กาม็อต ผลมะกรูด และเกรปฟรุต เป็นกลิ่นที่ผู้ชายส่วนใหญ่นิยม ให้ความรู้สึกสะอาด ออกแนวสปอร์ตนิดๆ

EDITOR’S PICK

KENZO

Aqua Kenzo Pour Homme EDT (50ml 2,130 Baht / 100ml 2,730 Baht)
หอมแนวสปอร์ตแบบผู้ชายเอาต์ดอร์ ด้วยกลิ่นสดชื่นของผลแอปเปิ้ลและพิงค์เพ็ปเพอร์ ผสานความนุ่มนวลของกลิ่นจากใบเฮเซลนัท งาดำ และแซนดัลวูด

GIVENCHY

Gentleman EDP (100ml 3,480 Baht)
หอมเย้ายวนเซ็กซี่แบบแมนๆ ด้วยกลิ่นของไม้หอมและเครื่องเทศ ตัดความสดชื่นของเบอร์กาม็อต ก่อนปิดท้ายด้วยความนุ่มนวลของวานิลลา เพื่อสร้างเสน่ห์ความหอมที่แตกต่าง

BOTTEGA VENETA

Parco Palladiano VIII (100ml 8,900 Baht)
น้ำหอมยูนิเซ็กซ์ที่แอบเผยด้านอ่อนโยนของผู้ชาย ด้วยโทนกลิ่นฟลอรัลของดอกเนโรลีหรือดอกส้ม ผสานความสะอาดสดชื่นของโทนกลิ่นกรีน ปิดท้ายด้วยกลิ่นอบอุ่นของไม้หอม รับรองฉีดแล้วคุณจะดูหล่อสุภาพน่าซบอกเป็นที่สุด

GROOMING STORY

*ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า