นับตั้งแต่ Alessandro Michele ก้าวขึ้นมาเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ให้กับแบรนด์ Gucci ความฮ็อตฮิตของแบรนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด และเช่นกันกับรีสอร์ทคอลเลคชั่น 2018 นี้ ที่แรงบันดาลใจจากธรรมชาติและวัฒนธรรมอิตาลี ได้ก่อให้เกิดคอลเลคชั่นสุดสวยงามอีกครั้ง
STORY
TAWAN KONKAEW
PHOTOGRAPHY
COURTESY OF BRANDS
ความชื่นชอบและจิตวิญญาณอันมั่นคงต่อความเป็นอิตาลีของ Alessandro Michele นั้น เริ่มมาจากการกำเนิดเป็นคนกรุงโรม
และศึกษาที่ Accademia di Costume e di Moda ทำให้เขาซึมซับความรุ่งโรจน์ของชาติพันธุ์ไว้อย่างเต็มที่ โดยเขาเริ่มทำงานที่แบรนด์ Fendi ก่อนที่จะย้ายมาทำงานให้กับ Gucci ในค.ศ. 2002 จากนั้นในค.ศ. 2006 ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าแผนกออกแบบเครื่องหนังอันเป็นหน่วยงานที่ทำกำไรหลักให้กับแบรนด์ ต่อมาในค.ศ. 2014 คนทั้งโลกต้องหันมามองที่เขา เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ Gucci ด้วยมุมมอง ในการออกแบบที่นำความหรูหราฟู่ฟ่า แต่ทว่ามีความเป็นศิลปินอยู่สูง เข้ามาล้างภาพลักษณ์เก่าของแบรนด์ ทำให้แบรนด์นั้นประสบความสำเร็จทั้งทางด้านยอดขายและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนอย่างถล่มทลาย เปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองและนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ในแบบที่ Gucci ไม่เคยทำมาก่อน
และครั้งนี้เขาได้จัดแฟชั่นโชว์ล่าสุดขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ซึ่งการเลือกสถานที่นั้นมีนัยสำคัญซ่อนอยู่ “เมื่อเรานึกถึงยุคเรเนสซองส์ เราจึงตัดสินใจมาที่ฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความเจริญทุกอย่างในอดีต ด้วยพลังของเงินที่สนับสนุนความก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการ” นี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจเลือกฟลอเรนซ์ และคงจะไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่า Palazzo Pitti พระราชวังเก่าแก่ของตระกูล Medici เจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งที่นี่ได้เก็บรักษาศิลปวัตถุไว้มากมาย เช่น ภาพวาดของศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง Botticelli และรูปปั้นหินอ่อนสุดตระการตา โดยก่อนจะชมแฟชั่นโชว์ แขกระดับวีไอพีอย่าง Elton John, Jared Leto, Kirsten Dunst และ Dakota Johnson จะต้องเดินผ่านและชื่นชมผลงานศิลปะเหล่านี้ แน่นอนว่าแต่ละคนไม่ทำให้ผิดหวัง ต่างแต่งตัวกันมาแบบจัดเต็ม ทั้งสไตลิ่งและสีสัน เรียกว่าไม่แพ้นายแบบนางแบบบนรันเวย์เลยทีเดียว
เขาเลือกที่จะหยิบกลิ่นอายแฟชั่นที่มีความแปลกใหม่และแหกคอกจากความดูดีในแบบเดิมๆ คล้ายกับยุคเรเนสซองส์ที่ส่องประกายตัวเองออกมาจากยุคกลาง
ใครอยากได้เสื้อผ้าแบบไหน Gucci คอลเลคชั่นนี้มีให้หมด และไม่ใช่แบบธรรมดา แต่เป็นแบบพิเศษสไตล์เรเนสซองส์เสียด้วย
ร่ายยาวขนาดนี้เพื่อให้เห็นภาพแฟนตาซีที่อยู่ในหัวของดีไซเนอร์ แต่ระดับ Alessandro Michele คงไม่ได้แค่ตีความออกมาเป็นยุคเรเนสซองส์ง่ายๆ แน่ เขาเลือกที่จะหยิบกลิ่นอายแฟชั่นที่มีความแปลกใหม่และแหกคอกจากความดูดีในแบบเดิมๆ คล้ายกับยุคเรเนสซองส์ที่ส่องประกายตัวเองออกมาจากยุคกลาง ด้วยการนำเสนอชุดสูทพร้อมกางเกงขาบาน เสื้อเคปตัวยาว แม็กซี่เดรส ในโทนสีจัดจ้าน อย่างส้มสด ชมพูฟูเชีย และเขียวพิตาชิโอ้ ส่วนวัสดุที่ใช้ก็มีตั้งแต่ผ้าลูกไม้ ขนเฟอร์ ผ้าไหมพิมพ์ลาย ผ้าไหมยกดอก ผ้ากำมะหยี่ พร้อมดีเทลอย่างการปักเลื่อมและมุก เสื้อยืดสกรีนลายชิ้นขายดีของแบรนด์ ตลอดจนไบเกอร์แจ็กเก็ตหนังและกางเกงยีนส์ก็มีเหมือนกัน เท่านั้นยังไม่พอ Alessandro Michele ได้ล้อเลียนชื่อแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ ผ่านคำอย่าง Guccy, Guccification และ Guccify Yourself สร้างความแปลกใหม่และกระตุ้นความอยากเป็นเจ้าของจากเหล่าสาวกได้เป็นอย่างดี ชนิดที่ใครอยากได้เสื้อผ้าแบบไหน Gucci คอลเลคชั่นนี้มีให้หมด และไม่ใช่แบบธรรมดา แต่เป็นแบบพิเศษสไตล์เรเนสซองส์เสียด้วย
พูดถึงเสื้อผ้าแล้ว ก็ต้องพูดถึงรองเท้าและกระเป๋าด้วย กระเป๋าในรอบนี้แม้ว่าจะอิงกับรูปทรงคลาสสิกแบบเดิมแต่ดีเทลที่กระหน่ำตกแต่งนั้นกลับไม่ธรรมดาเลย อย่างกระเป๋าถือกำมะหยี่สีแดงเข้มตกแต่งคริสตัลสีเหลืองและโลหะชุบทองรูปผึ้ง สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในสมัยโรมัน หรือกระเป๋าหนังปักลายดอกไม้ทั้งใบ ที่ช่วยเพิ่มสีสันและความสดใสในการแต่งตัวได้อย่างทันตา รองเท้าเองก็มีทั้งดีเทลตอกหมุดและคริสตัลใส่กันอย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับทำให้ลุคเบาๆ ดูเป็นแฟชั่นมากขึ้น
เครื่องประดับที่ดีไซเนอร์นำเสนอนั้นก็มีมากมาย ถ้านับรวมๆ ในโชว์แล้วอาจจะมีมากถึง 100 ชิ้น ทั้งมงกุฎ หวีประดับผม หมวก สร้อยคอ ตุ้มหู ถุงมือ ถุงเท้า เข็มขัด สร้อยข้อมือ แหวน และอีกสารพัน ทุกชิ้นล้วนทำมาจากคริสตัลหรือวัสดุที่มีความวาวเป็นรูปสรรพสัตว์ตามธรรมชาติ หรือสัญลักษณ์ตามความเชื่อโรมัน อย่างมงกุฎใบมะกอก เครื่องหมายของชัยชนะ และดอกไม้หลากสีสันจากฤดูใบไม้ผลิ สัญลักษณ์ของการกำเนิดใหม่และความสมบูรณ์
เลือกพบความหรูหรา ความซ่า และความแปลกใหม่ที่ไม่มีนิยามตายตัวในแบบของ Gucci ซึ่งออกแบบมาให้แต่ละคนสวมใส่และตีความเอง แต่ที่แน่ๆ ใส่ Gucci Resort 2018 แล้วอินเทรนด์แน่นอน