Lifestyle

TRAVEL IN STYLE
Look Great In The Great Outdoors

ได้เวลาเดินทางสู่โลกกว้าง เติมเต็มสีสันให้ชีวิตชดเชยช่วงเวลากักตัว ที่ไม่อาจกักใจให้โหยหาธรรมชาติ นาฬิกาข้อมือ จาก Gucci ต่างหู จาก Bottega Veneta แว่นตา จาก Chloé เสื้อ จาก Prada กระเป๋า จาก Moncler หมวก จาก Moncler กางเกง จาก Prada รองเท้า จาก Bottega Veneta แก้วน้ำ จาก Prada นาฬิกาข้อมือ จาก IWC กางเกง จาก Moncler แว่นตา จาก Tom Ford หมวก จาก Moncler กระเป๋าสะพาย จาก Prada กระบอกน้ำ จาก Prada เสื้อ จาก Moncler รองเท้า จาก Gucci ขอขอบคุณรูปภาพจาก Official Brands https://www.facebook.com/thungsalaengluang
Editor
14 September 2021
Lifestyle

LIFESTYLE
Chloé Zhao ผู้หญิงเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์
เจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์

เวทีออสการ์ยังคงเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังเสมอ เพราะหลังจากที่ Bong Joon-ho พาภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีอย่าง Parasite ผงาดคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปเมื่อปี 2019 ท่ามกลางเสียงฮือฮาและความชื่นชมยินดีจากแฟนหนังทั่วโลก ในปีถัดมา รางวัลใหญ่นี้ก็ตกเป็นของหนังฟอร์มเล็กอย่าง Nomadland ที่ยังควบมาด้วยรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากฝีมือการแสดงของ Frances McDormand รวมไปถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งอย่างหลังนี้ส่งผลให้ Chloé Zhao กลายเป็นผู้กำกับหญิงชาวเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลนี้ไปครอง Chloé Zhao ถือเป็นผู้กำกับหน้าใหม่พอสมควรในแวดวงหนังอเมริกัน ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนจะยังไม่คุ้นเคยกับชื่อและผลงานของเธอมากนัก โดยก่อนหน้านี้เธอมีผลงาน 2 เรื่อง ได้แก่ Songs My Brothers Taught Me (2015) และ The Rider (2017) ซึ่งเธอรับหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบทเองทั้งหมด จนมาถึง Nomadland ที่ประสบความสำเร็จมากเสียจนทำให้ใครๆ ต่างพากันจับตามองเธออย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาข้อเท็จจริงบางอย่างที่อาจทำให้หลายคนต้องเซอร์ไพรส์นิดๆ เมื่อได้รู้ก็คือ Nomadland เป็นหนังที่เล่าถึงความเป็นอเมริกันได้อย่าง “อเมริกัน” จัดๆ เรื่องหนึ่ง แม้ว่ามันจะกำกับโดยผู้กำกับที่มีเชื้อสายจีนแท้ๆ โดย Chloé Zhao เกิดและใช้ชีวิตในวัยเด็กที่ปักกิ่ง ก่อนจะถูกส่งไปเรียนที่ Brighton College ประเทศอังกฤษ และ Los Angeles High School ประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา“วัยรุ่นหัวขบถจอมขี้เกียจประจำโรงเรียน” คือคำนิยามที่ Chloé Zhao ใช้เรียกตัวเอง เพราะดูเหมือนว่าความสนใจตั้งแต่เด็กของเธอนั้นคือการวาดการ์ตูนและการแต่งนิยายมากกว่าการทำการบ้านที่ครูให้ แน่นอนว่าเธอยังชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะเรื่อง Happy Together ของผู้กำกับ Wong Kar-wai ที่ทำให้ได้ “กระทำความหว่อง” มาตั้งแต่อายุยังน้อย รวมไปถึงการได้ใช้ชีวิตทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ดินแดนอันอุดมไปด้วยพ็อปคัลเจอร์ที่คนอย่างเธอเต็มใจพุ่งเข้าไปหา การ์ตูน เพลง และภาพยนตร์มากมายนับไม่ถ้วน จึงเปรียบได้ดั่งเพื่อนผู้แสนดีของเด็กสาวชาวจีนคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำพังในอพาร์ตเมนต์ย่านโคเรียทาวน์ จนสามารถพูดได้ว่าช่วงเวลานั้นมีส่วนสำคัญยิ่งในการหล่อหลอมให้เธอเป็นเธออย่างในทุกวันนี้ หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านการเมือง วิชาโทภาพยนตร์ Chloé Zhao ตัดสินใจเรียนต่อด้านภาพยนตร์อย่างจริงจังที่ New York University's Tisch School of the Arts เธอมีความสนใจในศาสตร์ของการเล่าเรื่อง โดยพยายามหารูปแบบการนำเสนอเรื่องที่อยากเล่าให้มีความน่าสนใจที่สุด และวิธีการที่แทบจะกลายเป็นลายเซ็นของเธอไปแล้วก็คือการเลือกใช้นักแสดงที่ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ หรืออาจถึงขั้นที่ว่าให้พวกเขาแสดงเป็นตัวเองเลยยิ่งดีหากเป็นไปได้ อย่างใน Nomadland นี้ ที่ Chloé Zhao ก็ได้เข้าไปใช้ชีวิตกับผู้คนเหล่านั้นจริงๆ ชาว “โนแมด” ผู้ใช้ชีวิตบนเส้นแบ่งอันเลือนรางระหว่าง “เสรีภาพ” และ “ข้อจำกัด” ซึ่งเรื่องราวที่เธอได้ไปสัมผัสและรับรู้มานั้น เธอก็ได้นำมาถ่ายทอดด้วยการนำพวกเขามาแสดงในหนังโดยให้ใช้ชื่อจริงๆ ของตัวเองอีกด้วยNomadland จึงเป็นเหมือนกับภาพยนตร์กึ่งสารคดี ที่นำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงอายุราว 60 ปีคนหนึ่งที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่เคยมี ออกเดินทางด้วยรถ RV แบบ “ค่ำไหน นอนนั่น” ไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตแดนอันกว้างขวางของสหรัฐอเมริกา โดยในระหว่างทางก็ได้พบเจอกับผู้คนที่เลือกทางเดินชีวิตแบบเดียวกันกับเธอมากมาย กระทั่งได้เรียนรู้ในสิ่งที่น้อยคนจะเคยมีโอกาสสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นนางเอกของเรื่อง คนดูอย่างเราๆ รวมไปถึงตัว Chloé Zhao เอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาจจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ว่าเพราะเหตุใดผู้คนกลุ่มหนึ่งจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับชีวิตที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พวกเขาเหล่านั้นถวิลหาสิ่งใด ความมั่นคงมิใช่ความจำเป็นอย่างนั้นหรือ แต่ Chloé Zhao เด็กสาวผู้ใช้ชีวิตท่ามกลางความหลากหลายในทุกๆ สังคมที่เธอเคยเผชิญมา ก็ได้บรรจงหยิบยื่นอีกหนึ่ง “รูปแบบชีวิต”…
Editor
13 September 2021
Lifestyle

LIFESTYLE
พาท่องวัฒนธรรมตามหาอัญมณีเม็ดงาม
ที่ซ่อนอยู่ ณ ภูเก็ต

นอกจากท้องทะเลและชายหาดที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกสมกับฉายา ไข่มุกแห่งอันดามัน แล้ว ภูเก็ตยังมีแง่งามทางศิลปวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การไปเยือนนั่นก็คือ ความเป็นชุมชนเมืองเก่าอันเป็นเอกลักษณ์ เมืองที่หล่อหลอมความหลากหลายทั้งในแง่ของประเพณีและวิถีชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเฉพาะตัวแบบ เพอรานากัน ที่สะท้อนวัฒนธรรมผ่านสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส อันเป็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 รวมไปถึงวิถีชีวิตชุมชนของชาวเมืองภูเก็ตที่หล่อหลอมจากวัฒนธรรมอันหลากหลายทั้ง ไทย จีน มลายู และอาหารพื้นถิ่นที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งอาหารโบราณดั้งเดิมที่ยังคงได้รับการสานต่อจวบจนถึงปัจจุบัน เหล่านี้ล้วนคือมนตร์เสน่ห์แห่งเมืองเก่าภูเก็ตที่พร้อมจะสร้างความประทับใจให้กับเหล่านักเดินทางได้ทุกครั้งที่มาเยือน และวันนี้ Power จะพาคุณไปท่องวัฒนธรรมภูเก็ตอันเป็นเอกลักษณ์ภายใน 1 วัน ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัว แล้วออกเดินทางกันเลย! 1. ไหว้พระขอพร ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมอันน่าทึ่ง กับ 3 วัดดังคู่บ้านคู่เมือง ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย วัด ยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจความเลื่อมใสและศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่รวมถึงผู้มาเยือนได้อยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับที่ภูเก็ตซึ่งมีวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองหลายแห่งรอให้ผู้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมในแบบดั้งเดิม เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์สืบต่อไป สักการะ ‘หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง’ ศูนย์รวมแห่งความศรัทธามากว่า 200 ปี วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดภูเก็ต ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่มีชื่อปรากฏในหลักฐานบันทึกสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนชื่อเป็น วัดไชยธาราราม ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อ หลวงพ่อแช่ม หรือ พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ผู้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ มีชื่อเสียงในศาสตร์วิชาด้านการปรุงสมุนไพรและรักษาโรค รวมถึงเข้าเฝือกผู้ป่วยกระดูกหัก มีบทบาทต่อสังคมด้วยการเป็นวัดแห่งศูนย์รวมศรัทธาของประชาชนชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงเป็นต้นกำเนิดของโรงเรียนประถมศึกษาของเยาวชนในตำบลฉลองด้วย วัดฉลองถือเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในเมืองภูเก็ต โดยเฉพาะ พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ เจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมที่วิจิตรงดงาม ด้านข้างผนังแต่ละชั้นมีภาพวาดพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าที่งดงามยิ่ง เมื่อขึ้นไปด้านบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีอายุกว่า 2,200 ปี นำมาจากประเทศศรีลังกา ส่วนด้านนอกขององค์เจดีย์สามารถเดินชมทิวทัศน์รอบๆ วัดและเมืองภูเก็ตที่สวยงามได้อีกด้วย แวะสักการะ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองกันได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 7638 1226 หรือ เฟซบุ๊ก วัดฉลอง จ.ภูเก็ต Chalong Temple Phuket Thailand ตื่นตาตื่นใจไปกับ ‘พระผุด’ ความมหัศจรรย์สุดอันซีน ที่วัดพระทอง อีกหนึ่งตำนานความศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่ในอีกมุมหนึ่งของภูเก็ต นั่นคือ วัดพระทอง หนึ่งใน Unseen Thailand ของจังหวัดภูเก็ต เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จวบจนต่อมารัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานนามให้ว่า วัดพระทอง นอกจากผู้คนจะนิยมมาสักการะ พระผุด อันเลื่องชื่อ แห่งเดียวในประเทศไทยแล้ว ในบริเวณวัดยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์วัดพระทองซึ่งตั้งอยู่ข้างโบสถ์ เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุและเครื่องใช้ของชาวภูเก็ต ที่บอกเล่าเรื่องราวของชาวภูเก็ตได้เป็นอย่างดี โดยชาวบ้านนำมาบริจาคไว้ให้ได้เข้าชมกันอีกด้วย ความอันซีนของวัดพระทองนั้น มาจากพระพุทธรูปโบราณที่มีลักษณะแปลกคือ มีเพียงครึ่งองค์ที่ผุดขึ้นจากพื้น โดยมีตำนานเล่าขานว่า ชาวบ้านมาขุดพบและขุดขึ้นได้เพียงครึ่งองค์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าปะดุงมาตีเมืองถลางก็พยายามจะขุดพระไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถนำขึ้นได้เช่นกัน ชาวบ้านจึงสร้างพระครึ่งองค์ครอบไว้ เรียกว่า พระผุด ต่อมามีพระธุดงค์มาปักกลดบริเวณนั้น แล้วสร้างวัดขึ้น โดยอัญเชิญพระผุดเป็นพระประธานในโบสถ์ กล่าวกันว่าพระผุดเป็นพระทองคำ จึงพอกปูนทับลงไปดังที่เห็นในปัจจุบัน วัดพระทอง เปิดให้เข้าสักการะได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น. สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 7627 4126 ชื่นชมความงาม ‘องค์พระใหญ่’ ความงามสง่าแห่งศิลปะร่วมสมัย ที่สุดแห่งความสวยงามอลังการอันเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด ด้วยการไปสักการะ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี หรือ พระใหญ่เมืองภูเก็ต พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดับผิวด้วยหินอ่อนหยกขาว…
Editor
10 September 2021
Food & DrinksLifestyle

FOOD & DRINKS
ดงบุริ เสน่ห์แห่งความเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อในเรื่องวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แสดงออกอย่างโดดเด่นในหลายๆ มิติ โดยเฉพาะ “อาหาร” ที่ในทุกวันนี้อาจเรียกได้ว่ากลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งนอกจากรสชาติจะถูกปากผู้คนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อาหารญี่ปุ่นก็ยังมีความหลากหลายให้ได้เลือกลิ้มลองกันตามสะดวก อย่างเมนูข้าวที่รู้จักกันในชื่อ “ดงบุริ” ที่หลายคนคุ้นเคย ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ถูกอกถูกใจใครหลายคน มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ และเต็มไปด้วยเสน่ห์บนความเรียบง่าย อย่างที่เราอยากพาคุณไปทำความรู้จักให้มากขึ้นในวันนี้ ดงบุริ (Donburi) หรือในบางที่เรียกว่า ดมบุริ (Domburi) มีความหมายตรงตัวว่า ชาม ซึ่งในที่นี้ก็จะเป็นที่เข้าใจว่ากำลังพูดถึง ชามที่ใส่ข้าวญี่ปุ่นแล้วท็อปด้วยหน้าต่างๆ นั่นเอง โดยในส่วนของหน้าก็จะมีความหลากหลายแตกต่างกันไปอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ จนชินตาในปัจจุบัน แต่หากสืบสาวไปยังที่มาที่ไปก็ต้องบอกว่า เมนูดงบุรินั้นเก่าแก่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่สมัยใหม่ นั่นคือการที่ได้ย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตมาสู่เอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เมื่อราว 400 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าเมื่อมีเมืองหลวงแห่งใหม่ สิ่งที่ตามมาก็คือผู้คนจำนวนมาก นำไปสู่ความเจริญและการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมต่างๆ โดยเฉพาะในแบบฉบับของ “คนเมือง” ที่มีความเร่งรีบและต้องการความคล่องตัว ในขณะเดียวกันกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ก็คือ ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร เทศกาลรื่นเริง และสถานที่แฮงเอาต์หลังเลิกงานที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายดงบุริ เมนูอาหารที่ทั้งทำง่าย รับประทานง่าย จึงเข้ามามีบทบาทและแพร่หลายได้ในเวลาอันสั้น โดยเริ่มต้นจากเมนูข้าวหน้าปลาไหล หรือ Unagi Don ซึ่งเสิร์ฟมาในชามเล็กๆ ถือสะดวก ราคาย่อมเยา นิยมเสิร์ฟให้ผู้ชมละครคาบูกิที่ต้องการความเพลิดเพลินในขณะที่ดูละคร ก่อนที่จะพัฒนาประยุกต์สูตรไปเป็นหน้าต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น รวมไปถึงเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าอาหารญี่ปุ่นถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่เคล็ดลับความอร่อยนั้นไม่ใช่อะไรก็ได้ เพราะส่วนประกอบหลักๆ ของดงบุริก็คือข้าวและตัวท็อปปิ้ง ทำให้สองสิ่งนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กัน  โดยเฉพาะคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาทำท็อปปิ้งหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาไหล เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือซีฟู้ด ก็จะต้องมีความสดใหม่และคัดสรรมาเป็นอย่างดี ในขณะที่รสชาติจะเน้นให้มีความเข้มข้นจากการปรุงรสด้วยซอส น้ำราด และเครื่องปรุงต่างๆ เพื่อให้พอดีเมื่อรับประทานกับข้าวนั่นเองเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และเอาใจคนรักอาหารญี่ปุ่น ห้องอาหารเท็นชิโนะ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ ขอชวนคุณมาสัมผัสกับ ดงบุริ ข้าวกล่องญี่ปุ่นหน้าโปรดของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ปลาไหล กุ้ง แซลมอน และอีกมากมายในราคาเริ่มต้นที่ 190 บาท โดยสามารถเลือกและสั่งอาหารพร้อมชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของโรงแรมฯ หรือใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood (โรบินฮู้ด) และ LINE MAN (ไลน์แมน) นอกจากนี้ยังมีบริการให้คุณเลือกรับด้วยตนเองได้ที่จุด Drive Thru สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องลงจากรถ เมนูดงบุริ คลิก! สั่งอาหารได้ทุกวันที่นี่! ตั้งแต่เวลา 11.00 - 19.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2680 9999
Editor
10 September 2021
Lifestyle

LIFESTYLE
5 กิจกรรมฮีลใจตัวเอง
ในวันที่ยังคงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน

แม้ช่วงนี้จะมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ให้เราสามารถออกไปใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมนอกบ้านกันได้บ้างแล้ว หลังจากที่ต้องอยู่ในสภาวะที่ต้องทำงานหรือเรียนจากที่บ้านมาเป็นเวลานาน ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนต่างก็รอโอกาสนี้เพื่อหวังเปลี่ยนบรรยากาศ แต่อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมที่จะดูแลป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยอยู่เสมอ ในวันที่คุณต้องออกนอกบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากโรคระบาด และสำหรับใครที่ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน Power ก็มี 5 กิจกรรมดีๆ แก้เบื่อมานำเสนอ เพื่อฮีลใจตัวเอง มาดูกันว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างที่น่าสนใจ 1. มาปฏิวัติบ้านครั้งใหญ่กันเถอะ! เริ่มด้วยกิจกรรมแก้อาการเหงาๆ เบื่อๆ ด้วยการเสียเหงื่ออย่างสร้างสรรค์ โดยการลุกขึ้นมาจัดบ้านปัดกวาดเช็ดถู ให้บ้านน่าอยู่กันสักหน่อย ไล่เรียงตั้งแต่เพดานไปจนถึงพื้นห้องให้สะอาดเอี่ยมทุกซอกทุกมุมดูสบายตา จากนั้นหามุมโปรดมาช่วยชุบชูใจให้ผ่อนคลาย จัดวางชั้นหนังสือน่าอ่านมาไว้ใกล้ๆ เสริมด้วยเบาะรองหนานุ่มน่าเอกเขนกสักผืนไว้เป็นมุมเอนหลัง หรือจะหาต้นไม้ฟอกอากาศมาวางตกแต่งในห้องนั่งเล่นก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยสร้างอากาศให้บริสุทธิ์แล้ว ยังทำให้ห้องมีสีสันดูมีชีวิตชีวาน่ามองมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญอย่าลืมจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ อาจหาเครื่องหอมอะโรมามาช่วยเพิ่มบรรยากาศความสดชื่นให้พร้อมไว้ในวันทำงานก็น่าผ่อนคลายดีไม่น้อย หรือหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้รู้สึกเสมือนได้ไปพักผ่อนนอกสถานที่ ลองหาดวงไฟสวยๆ มาตกแต่งให้สนามหญ้าหน้าบ้าน หยิบโต๊ะเก้าอี้ปิกนิกและผ้าปูลายเก๋ๆ ที่เก็บเอาไว้ออกมาจัดวางสร้างบรรยากาศ หรือหากอยากจัดเต็มด้วยชุดเครื่องครัวอุปกรณ์แคมปิ้ง จะกางเต็นท์กางกระโจมก็ได้ฟีลดี แต่ถ้าใครคิดอยากจะใช้โอกาสนี้ออกไป ตั้งแคมป์รับอากาศดีๆ ตามป่าเขา ซึมซับบรรยากาศสดชื่นของฟ้าฝนในยามนี้ ลองเช็กกติกาของแต่ละสถานที่ให้ดีเสียก่อนว่ามีความพร้อมหรือไม่ รวมทั้งตัวเราเองก็ต้องมีความปลอดภัยมากพอที่จะไม่นำพาความเสี่ยงต่างๆ มาสู่ครอบครัวหรือสังคมต่อไปได้ 2. ฝึกเข้าครัวทำอาหารกินเองที่บ้าน ช่วงที่ผ่านมาหลายคนหันมาทำอาหารกินเองที่บ้านกันมากขึ้น เพราะนอกจากความเสี่ยงจะน้อยแล้ว ยังดีต่อสุขภาพของคนในครอบครัว ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แถมได้คลายเครียดและฝึกสมาธิไปในตัว นอกจากนี้ยังช่วยสร้างบรรยากาศให้บ้านอบอุ่นมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากบ้านไหนมีเชฟประจำบ้านอยู่แล้วก็เป็นเรื่องดี ถือว่าปลอดภัยสบายกระเพาะ แต่หากเป็นเชฟหน้าใหม่การได้ฝึกเข้าครัวบ่อยๆ จะช่วยให้สามารถเอาตัวรอดในสภาวะเช่นนี้ได้ อาจเริ่มต้นจากเมนูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน อย่างอาหารตระกูลไข่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไข่ดาว ไข่เจียว หรือไข่ต้ม กินคู่กับสลัดผัก เมนูง่ายๆ แต่ได้ทั้งโปรตีนและวิตามิน จากนั้นลองขยับไปเลเวลที่ท้าทายมากขึ้น เพื่อเติมเต็มความสุขในการกินอาหาร อาจลองศึกษาจากยูทูบ ดูวิธีการทำอาหารต่างๆ เผลอๆ เกิดทำอร่อยขึ้นมา ช่องทางการทำรายได้เสริมอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ถ้าใครนึกถึงความอร่อยของอาหารสตรีตฟู้ดนอกบ้าน ขอแนะนำ เมนูจาก ไทย เทสต์ ฮับ ที่มั่นใจได้ว่าสะอาดปลอดภัย ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด โดย ไทย เทสต์ ฮับ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เปิดให้สามารถนั่งรับประทานอาหารในร้าน ได้ตั้งแต่เวลา 11.00 - 19.00 น. และในส่วนของ ไทย เทสต์ ฮับ มหานคร คิวบ์ เปิดให้สามารถนั่งรับประทานอาหารในร้าน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น. หรือจะเลือกรับความอร่อยที่บ้าน สั่งเดลิเวอรีได้ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น. 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพกายใจที่ดี อยู่บ้านนานๆ หากไม่ได้ขยับร่างกายอาจจะทำให้เฉื่อยชาได้ ควรออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อเป็นการบริหารหัวใจ ปอด ระบบไหลเวียนโลหิตและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง สำหรับชนิดกีฬาก็มีหลากหลายประเภท ควรเลือกให้เหมาะสมกับสถานที่ ช่วงอายุ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล อย่างการเล่นโยคะก็ทำได้ที่บ้านใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย หรือจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเต้นตามเหล่ายูทูบเบอร์ก็สนุกแถมยังขับเหงื่อได้ดี ถึงแม้จะออกกำลังที่บ้านก็ควรสวมใส่ชุดกีฬาเพื่อลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่อยากจะออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะอย่าลืมดูแลตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่าน และเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยผ่อนคลายจิตใจ คลายความวิตกกังวลกับสถานการณ์ในช่วงนี้ไปได้มากทีเดียว 4. จะมีอะไรดีไปกว่าการปรนนิบัติตัวเองอีกล่ะ ถึงเวลาเติมเต็มความผ่อนคลายด้วยสปาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมด้วยทรีตเมนต์สูตรจากธรรมชาติ หรือการทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายให้สะอาดหมดจด เตรียมพร้อมการบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวให้กลับมาเนียนนุ่มน่าสัมผัส แลดูสุขภาพดี ต่อด้วยเติมความสดชื่นให้จิตใจกับเครื่องหอมอะโรมากลิ่นโปรดที่รังสรรค์ได้เองที่บ้าน หรือหากใครอยากผ่อนคลายบรรเทาอาการเมื่อยล้า…
Editor
7 September 2021
Lifestyle

Lifestyle
เมื่อยังมีชีวิต ก็ย่อมมีความฝัน สายสุนีย์ จ๊ะนะ
ตำนานยอดนักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบของไทย

ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ พาราลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 มหกรรมกีฬาสำหรับคนพิการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ ซึ่งในครั้งนี้ทัพนักกีฬาทีมชาติไทยก็สามารถที่จะคว้าเหรียญรางวัลกลับมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ถือเป็นความภาคภูมิใจและความสุขที่พวกเขาทุกคนมอบให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยที่เหรียญแรกนั้นเป็นเหรียญทองแดงกีฬาวีลแชร์ฟันดาบ จากฮีโร่สาวมือหนึ่งของไทยที่มีชื่อว่า แวว-สายสุนีย์ จ๊ะนะ สายสุนีย์คร่ำหวอดอยู่ในวงการกีฬามานานจนเป็นที่คุ้นตาของแฟนกีฬาวีลแชร์ฟันดาบเป็นอย่างดี ด้วยทักษะและประสบการณ์บนเส้นทางกว่า 20 ปี ทำให้เธอคว้าแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการในโลกนี้ รวมถึงเหรียญทองแดงอันทรงเกียรติเหรียญนี้ด้วยแม้วัยจะล่วงเข้าสู่ปีที่ 47 ของชีวิตแล้วก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังยืนยันอีกว่า ในวันที่เธอขึ้นเลข 5 เธอก็อยากจะคว้าเหรียญรางวัลอีกครั้งที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเมื่อมองย้อนกลับไปชีวิตของสายสุนีย์ก็คล้ายกับอีกหลายๆ คน คือการที่วันหนึ่งพบว่าตัวเองนั้นไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป อุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดทำให้เธอต้องย้ายตัวเองไปอยู่บนรถเข็น หากจะพูดว่าเป็นการ “เริ่มต้นชีวิตใหม่” ก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่มันไม่ใช่ชีวิตใหม่ที่หวังไว้เลยแม้แต่น้อย ความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากเป็นครู มีอันต้องพลิกผันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืน แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง ทำให้สายสุนีย์ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากไปได้ พร้อมๆ กับโอกาสที่เป็นดั่งแสงสว่างแห่งความหวังครั้งใหม่ที่ได้ผ่านเข้ามา เมื่อศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการหยาดฝน จังหวัดเชียงใหม่ เปิดรับสมัครคนพิการที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในชีวิตประจำวันและความพิการไม่เป็นอุปสรรคในการฝึกอาชีพ จำนวน 100 คน เธอจึงบรรจงเขียนความต้องการและความตั้งใจสมัครไป ราวกับมีความในใจเหลือคณา ด้วยคำที่เธอพูดถึงจดหมายฉบับนั้นแบบติดตลกว่า “เรียงความ” แน่นอนว่านอกจากจะได้ฝึกอาชีพที่นั่นแล้ว สิ่งสำคัญที่สายสุนีย์ได้เรียนรู้ก็คือ “ทุกคนมีความสุข ทุกคนมีความทุกข์ แต่เมื่อใดที่ได้แลกเปลี่ยนกัน เสียงหัวเราะก็เกิดขึ้นได้เสมอ” ดูเหมือนว่าเธอได้ก้าวข้ามความพิการไปแล้ว จริงอยู่ที่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเลือกไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือแสวงหาและโอบรับโอกาสที่อาจจะช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิตได้ อย่างในครั้งนี้ที่มาในรูปของ “กีฬา”สายสุนีย์เริ่มต้นเส้นทางชีวิตนักกีฬาด้วยวีลแชร์บาสเกตบอล ซึ่งเธอพบว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ด้วยความตั้งใจทำให้เธอติดทีมนักกีฬาล้านนาเป็นตัวแทนไปแข่งขันตามที่ต่างๆ จนกระทั่งมีการเปิดรับสมัครอบรมกีฬาวีลแชร์ฟันดาบ เธอก็ไม่รีรอรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ ไม่ต่างกัน วีลแชร์ฟันดาบนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควรจนเพื่อนหลายคนที่ไปด้วยกันเริ่มถอดใจ ในขณะที่เธอยังสู้ต่อ ด้วยความคิดที่ว่าตั้งแต่เด็กก็เคยอดทนสู้งานตากแดดตากฝนมาก็ไม่น้อย ความลำบากไม่เคยจากไปไหน มันแค่เปลี่ยนรูปแบบใหม่ๆ มาท้าทายเราต่างหาก ครั้งหนึ่งรุ่นพี่ที่เป็นนักกีฬาวีลแชร์เทนนิสเคยบอกกับเธอว่าให้อดทนต่อไป นักกีฬาสามารถมีรายได้ มีอนาคตที่ดี และใครๆ ก็ฝันอยากจะไปให้ถึงเฟสปิกเกมส์กันทั้งนั้น (ปัจจุบันคือเอเชียนพาราเกมส์ การแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการระดับทวีปเอเชีย) สายสุนีย์ จ๊ะนะ คว้า 2 เหรียญทองจากกีฬาเฟสปิกเกมส์ ปี 1999 ที่กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพ พร้อมกับเกียรติยศที่เธอเองก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อน เธอเดินทางมาถึงจุดที่รุ่นพี่คนนั้นเคยบอกไว้แล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่ใช่จุดสูงสุดของเธอ และถึงแม้ว่าคะแนนสะสมจะยังไม่เพียงพอที่จะไปพาราลิมปิกเกมส์ที่ซิดนีย์ในปีถัดไป เธอก็ยังไม่หมดหวัง เดินหน้าสั่งสมประสบการณ์จนได้ไปพาราลิมปิกเกมส์ 2004 ที่ประเทศกรีซในที่สุด ปีนั้นเธอกลับบ้านพร้อม 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองแดง สร้างประวัติศาสตร์เหรียญทองแรกของนักกีฬาหญิงไทยในพาราลิมปิกเกมส์ จวบจนถึงวันนี้ สายสุนีย์ จ๊ะนะ ผ่านพาราลิมปิกเกมส์มาแล้วถึง 5 ครั้ง ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เธอไม่มีเหรียญรางวัลติดมือกลับบ้าน จนแฟนกีฬายกให้เธอเป็นฮีโร่ระดับตำนานอีกคนของไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากชีวิตนักกีฬา สายสุนีย์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มีงานประจำที่มั่นคง และมีครอบครัวที่อบอุ่น โดยมีลูกสาวที่น่ารักชื่อว่า “ฤทัย” ดวงใจดวงน้อยที่เป็นดั่งพลัง ความหวัง และความสุขในทุกๆ โมงยามของชีวิต รวมไปถึงมีความฝันที่วันหนึ่งอยากจะมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เธอรู้ดีว่าเส้นทางชีวิตนักกีฬาของเธอยังไม่จบเพียงเท่านี้ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก https://www.sat.or.th/ https://www.satc.or.th/ https://www.posttoday.com/ https://www.paralympic.org/ https://olympics.com/ https://www.facebook.com/WheelchairFencing/ https://www.facebook.com/NPCTHA/ https://www.facebook.com/saysunee.jana
Editor
6 September 2021
Lifestyle

Lifestyle
Movies That Spark Our Nostalgic
Memories on Disney+ Hotstar

นอกจาก Disney+ Hotstar จะเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มสตรีมมิงความบันเทิงที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาเข้าใกล้นิยามของคำว่า “ความสุข” ได้แทบจะในทันทีก็คือ ขึ้นชื่อว่าดิสนีย์ ไม่มากก็น้อย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่เติมเต็มช่วงเวลาดีๆ ในของชีวิตพวกเรามาโดยตลอด แน่นอนว่าคนทุกคนล้วนปรารถนาช่วงเวลาแห่งความสุข ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันเช่นนี้ อาจพูดได้ว่าหลายคน “คิดถึง” ความทรงจำในอดีตที่ดีกว่าโลกแห่งความจริงที่กำลังเผชิญหน้านี้อยู่วันละหลายๆ ครั้ง หรือที่ชอบเรียกกันว่า ภาวะ Nostalgia นั่นเอง ที่สำคัญดูเหมือนว่าการหยิบยื่นบางสิ่งบางอย่างที่ดีต่อใจเป็นงานถนัดของดิสนีย์ก็ว่าได้ Power จึงอาสาพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปสัมผัสกับภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่ Disney+ Hotstar ได้รวบรวมมาไว้ให้เราย้อนคืนช่วงเวลาสุดโปรดกลับมาอีกครั้ง Home Alone (1990) หากพูดถึงนักแสดงที่มีชื่อว่า Macaulay Culkin หลายคนคงจะส่ายหน้ากันไปตามๆ กัน แต่ถ้าถามใหม่เป็น Kevin McCallister ล่ะ? เชื่อว่าภาพของหนูน้อยหน้าเหวอวัย 8 ขวบกำลังเอามือจับหน้าตัวเอง คงจะผุดขึ้นมาในความทรงจำได้ไม่ยาก และถ้าไม่บอกใครจะเชื่อว่าปัจจุบันเขามีอายุ 40 ปีแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่า ใครทันดู Home Alone ตั้งแต่ตอนที่ออกฉายเป็นครั้งแรก คุณไม่เด็กแล้วนะ Home Alone หรือที่คนไทยคุ้นหูกันในชื่อ โดดเดี่ยวผู้น่ารัก ถือเป็นภาพยนตร์ตลกขึ้นหิ้งสำหรับทุกช่วงเวลาของครอบครัว เรื่องราวของเด็กน้อยที่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง แถมยังต้องรับมือกับโจรอีก 2 คนนี้ ได้สร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้ผู้ชมมากว่า 30 ปี จนเรียกได้ว่าเป็นพล็อตคลาสสิกที่มีการนำไปดัดแปลงจนนับครั้งไม่ถ้วน นอกจาก Home Alone จะสร้างชื่อเสียงให้กับพระเอกตัวน้อยของเราแล้ว ก็ยังส่งให้ชื่อของ John Hughes ในฐานะผู้เขียนบทโด่งดังไม่แพ้กัน เขาบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากชีวิตจริงของเขาเอง ที่เวลายกโขยงครอบครัวเพื่อไปเที่ยวที่ไหน เขาจะต้องคอยลิสต์ข้าวของมากมายที่ห้ามลืม รวมถึงลูกของเขาด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลืมลูกแบบในหนัง ตรงนี้เองที่เราต้องขอบคุณจินตนาการที่เหลือของเขา The Nightmare Before Christmas (1993) ทุกวันนี้ชื่อของ Tim Burton เป็นที่รู้จักในฐานะผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และคนเขียนบท ที่โดดเด่นในเรื่องจินตนาการแนว ดาร์กแฟนตาซีมากที่สุดคนหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ผลงานสมัยเรียนของเขาเข้าตาดิสนีย์จนทำให้เขาได้รับโอกาสมาฝึกงานเป็นแอนิเมเตอร์ที่นั่น และในช่วงนั้นเองที่เขาได้แต่งเรื่องราวสุดพิลึกของ 2 เทศกาลที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกันอย่างฮาโลวีนและคริสต์มาสขึ้นมาในชื่อ The Nightmare Before Christmas 10 ปีต่อมา เขาปัดฝุ่นโปรเจกต์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง และถึงแม้ว่าดิสนีย์จะเห็นดีเห็นงามด้วยไม่น้อย แต่ก็จำเป็นต้องส่งไม้ต่อให้กับ Touchstone Pictures บริษัทในเครือเป็นผู้ผลิต เนื่องจากหนังออกจะ “ดาร์กและน่ากลัว” ไปนิดสำหรับเด็กๆ แน่นอนว่าตัวละครที่เป็นโครงกระดูกไม่ใช่อะไรที่คุ้นตาในโลกแอนิเมชันขณะนั้น แต่ด้วยความลงตัวของหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่กล่าวถึงเมืองฮาโลวีนที่คิดอยากจะจัดงานคริสต์มาส การดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย รวมไปถึงเทคนิค Stop-motion ที่ไปกันได้ดีสุดๆ กับภาพโครงกระดูก ทำให้ The Nightmare Before Christmas ประสบความสำเร็จและกลายเป็นที่จดจำของผู้ชมในทันที ในอีกมุมหนึ่งหนังก็เหมือนจะบอกให้เรารู้ด้วยว่า เราต่างมีคุณค่าในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ใครต่อใครคิดว่ามันดีเสมอไปก็ได้ 101 Dalmatians (1996) นี่คือภาพยนตร์คน (และน้องหมา) แสดงที่ดัดแปลงมาจากนิยายเกือบจะชื่อเดียวกันของ Dodie Smith นักเขียนชาวอังกฤษผู้รักน้องหมาเป็นชีวิตจิตใจ เธอและสามีเลี้ยงดัลเมเชียนส์ไว้ถึง 9 ตัว แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นชื่อ Pongo ที่ต่อมาได้กลายไปเป็นเจ้าลายจุดตัวเอกในผลงานของเธอนั่นเอง โดยไอเดียแรกเริ่มเกิดจากการที่เพื่อนคนหนึ่งมองไปกลุ่มน้องหมาขาวดำของเธอแล้วเปรยขึ้นมาว่า “มันคงจะดีถ้าพวกมันจะกลายมาเป็นเสื้อโคตลายจุดสุดสวย” 101 Dalmatians เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการสร้างเป็นแอนิเมชันมาก่อนในปี 1961 แน่นอนว่าเวอร์ชันนี้ยังคงเล่าเรื่องราวการผจญภัยอันสนุกสนานของผองเพื่อนลายจุด…
Editor
30 August 2021
Lifestyle

Lifestyle
12 ขนมพื้นเมืองยอดนิยม
เอกลักษณ์แห่งความอร่อยของภูเก็ต

ด้วยอาหารพื้นเมืองภูเก็ตนั้นมีมากมาย และเต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมอาหารที่สืบเชื้อสายบางส่วนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่กาลก่อน จึงทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรมไทย-จีน ที่หลากหลาย รวมไปถึงอาหารส่วนใหญ่ที่มีชื่อออกไปทางจีนทำให้เราอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก และหลังจากที่ Power ได้พาเหล่านักเดินทางไปทำหลากหลายกิจกรรมกันมาพอสมควรแล้ว ครั้งนี้จะพาไปฝากท้องกับหลากเมนูขนมเลิศรส อันเป็นขนมพื้นเมืองภูเก็ต ที่ได้รับความนิยมจากคนท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน และยังมีให้รับประทานกันอยู่ในปัจจุบัน แม้บางชนิดอาจจะหารับประทานได้ยากแล้ว ดังนั้นหากใครได้มีโอกาสมาเยือนภูเก็ตทั้งที ควรมีโอกาสได้ลิ้มลองกันดูสักครั้ง เต้าส้อ ขนมพื้นเมืองอันดับแรกๆ ที่คนจะนึกถึงยามที่มาเยือนภูเก็ตก็คือ เต้าส้อ ขนมมงคลที่ชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนนิยมทำรับประทาน เดิมมี 2 ไส้ คือ ไส้หวานที่ทำจากถั่วกวน และไส้เค็มที่ผสมไข่แดงเค็ม แต่ปัจจุบันมีการทำไส้ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ทุเรียน ชาเขียว นิยมรับประทานคู่กับกาแฟหรือชาได้ทุกช่วงเวลาที่ท้องหิว เต้าส้อมีเนื้อแป้งที่กรอบนอกนุ่มในและแป้งบาง มีความคล้ายขนมเปี๊ยะ แต่ต่างกันที่ขนมเปี๊ยะนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่า และไส้จะเป็นไส้ฟักหรือที่เรียกว่าจันอับ หรือไส้ถั่วเหลือง เพียงอย่างเดียว ปัจจุบันร้านที่ขายขนมเต้าส้อจะมีมากมายหลายร้าน หารับประทานได้ทั่วไปในจังหวัดภูเก็ต อีกทั้งยังเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อกลับบ้านกันอีกด้วย ขนมหม่อหลาว หรือ ขนมงาพอง เป็นขนมพื้นเมืองของภูเก็ตและพังงา มีที่มาจากชาวจีนโพ้นทะเลในมณฑลฮกเกี้ยน ที่อพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุก ทำให้มีการผสมผสานระหว่างไทย-จีน หลายเรื่อง รวมถึงอาหารการกินด้วย ซึ่งขนมหม่อหลาวนั้น ตัวขนมทำมาจากแป้งข้าวเหนียวผสมเผือกบดละเอียด ทอดจนพองกรอบ ด้านนอกคลุกเคล้ากับงาขาวปิดแป้งทั้งชิ้น เวลารับประทานจะได้กลิ่นหอมจากงา กรอบนอกนุ่มใน มีรสชาติติดหวานเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นรสชาติของงาพองล้วนๆ เพราะด้านในไม่มีไส้ เรียกได้ว่าอร่อยจนแทบละลายในปากกันเลย ขนมหม่อหลาว หรือ ขนมงาพอง สามารถหาซื้อได้ตามร้านขนมพื้นเมือง หรือร้านของฝากทั่วไป อาโป๊ง ถ้าพูดถึงขนมพื้นเมืองภูเก็ต รับรองเลยว่าต้องมีชื่อ อาโป๊ง ติดอยู่ในอันดับต้นๆ เดิมทีอาโป๊งเป็นขนมพื้นเมืองของมาเลเซียที่เรียกกันว่า ขนมเบื้อง ก่อนจะเข้ามาแพร่หลายในภูเก็ต เมื่อชาวมาเลเซียปีนังซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนย้ายเข้ามาพักอาศัย อาโป๊งจึงกลายมาเป็นขนมพื้นเมืองภูเก็ตด้วยเช่นกัน ด้วยรสชาติที่หวานหอมจากกะทิพื้นเมือง ซึ่งมีทั้งแบบกรอบนอกนุ่มใน และแบบแป้งหนานุ่มเสมอกันทั้งชิ้น ดูๆ ไปมีความคล้ายขนมถังแตก เหมาะเป็นของว่างไว้รับประทานเล่นระหว่างมื้อ ยิ่งได้รับประทานคู่กับชาไม่ว่าร้อนหรือเย็น ก็ยิ่งฟินไปกับความอร่อยแบบง่ายๆ แต่ครบรส เคล็ดลับความอร่อยของอาโป๊ง นอกจากสูตรการผสมแป้งแล้ว ยังขึ้นอยู่กับฝีมือในการละเลงน้ำแป้งลงบนกระทะก้นลึก ให้เนื้อแป้งเรียบเนียนเสมอกันเป็นวงกลม ยิ่งถ้าใช้เตาถ่านขนมจะยิ่งหอมอร่อยขึ้นอีกเท่าตัว ร้านขายอาโป๊งเจ้าเด็ดในภูเก็ตมีอยู่หลายร้าน แต่ 2 ร้านที่ต้องบอกว่าห้ามพลาดก็คือ อาโป๊งแม่สุณี และ อาโป๊งโกเนี้ยว เจ้าเก่า ลองแวะไปชิมกันได้ บี้ผ้าง จากแนวคิดที่ต้องการทำขนมที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานขึ้น จึงเกิดเป็นขนมข้าวพองทอดกรอบสีเหลืองทอง ที่เรียกกันว่า บี้ผ้าง มีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า ราดด้วยน้ำตาลเคี่ยวรสเค็มๆ หวานๆ มีกลิ่นหอมจากหอมเจียว เหมาะสำหรับเป็นของว่างรับประทานคู่กับเครื่องดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะเป็นของฝาก เพราะเก็บไว้ได้นาน รับประทานง่าย อีกทั้งราคายังไม่แพงอีกด้วย แต่เวลารับประทานอาจต้องระวังสักหน่อย ด้วยตัวขนมที่อาจค่อนข้างแข็ง จึงไม่เหมาะนักกับคนที่มีปัญหาเรื่องฟันไม่แข็งแรง บี้ผ้างสามารถหาซื้อได้ตามร้านของฝากทั่วไป แม้แต่ในตลาดเช้าหรือแผงขนมสดก็มี แต่ถ้าหากอยากรับประทานสูตรดั้งเดิม รวมถึงได้ดูการสาธิตทำขนมไปด้วย แนะนำร้านเค่งติ้น ซึ่งเป็นร้านต้นตำรับของร้านขนมพื้นเมืองเจ้าแรกๆ ของภูเก็ต ซีกั๊วโก้ย ขนมพื้นเมืองภูเก็ตเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสิบสองขนมมงคลที่ใช้ในงานแต่งงานของชาวภูเก็ต โดยคำว่า ซีกั๊ว เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน หมายถึง แตงโม ซึ่งแตงโมเป็นผลไม้มงคลที่ชาวจีนนิยมใช้ในการตั้งโต๊ะไหว้ และมีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง มียศถาบรรดาศักดิ์ การที่ขนมนี้ได้ชื่อว่าขนมแตงโม ไม่ได้แปลว่ามีส่วนผสมมาจากแตงโม แต่มาจากรูปลักษณ์ของขนมที่คล้ายแตงโมผ่าซีก นั่นคือ เนื้อขนมด้านล่างหรือฐานเป็นสีเขียวคล้ายเปลือกแตงโม ส่วนด้านบนอาจเป็นสีชมพู แดง หรือเหลือง แล้วแต่การผสมสีในแป้งขนมนั่นเอง ซีกั๊วโก้ยมีรสชาติหวานอ่อนๆ เคี้ยวหนุบหนับ มีลักษณะเด่นอยู่ที่เนื้อขนมสีสวยที่เต็มไปด้วยฟองอากาศด้านใน เมื่อเอานิ้วแตะหรือกด เนื้อขนมจะมีความเด้งคืนรูป ให้ความรู้สึกหยุ่นๆ เหมือนฟองน้ำ…
Editor
27 August 2021
Lifestyle

Lifestyle
เปิดเคล็ดลับช้อปสินค้าจาก คิง เพาเวอร์
ผ่าน 3 ช่องทางใหม่สุดคุ้ม

อยู่ที่ไหนก็ ช้อป ฟิน ไม่ต้องมีไฟลต์บิน ก็ช้อปได้ PHOTOGRAPHY : COURTESY OF BRANDS เมื่อการช้อปปิ้งไม่ได้ถูกจำกัดว่าต้องออกไปนอกบ้านเท่านั้น Power จึงมาบอกเคล็ดลับในการช้อปสินค้าจาก คิง เพาเวอร์ เพราะนอกจาก “อยู่ที่ไหนก็ ช้อป ฟิน ไม่ต้องมีไฟลต์บิน ก็ช้อปได้” ผ่าน 3 ช่องทางใหม่ล่าสุดที่ทั้งสะดวกและง่ายดายแล้ว คุณยังจะได้รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม เสมือนมาช้อปที่หน้าร้านค้าของ คิง เพาเวอร์ ด้วยตัวคุณเองอีกด้วย มาดูกันว่ามีสินค้าและบริการอะไรบ้างที่น่าสนใจ 1. KING POWER CHAT TO SHOP บริการใหม่ล่าสุดจาก คิง เพาเวอร์ ที่แค่แชท ก็ได้ช้อป ผ่านช่องทาง LINE Application เพียงเพิ่มเพื่อน LINE: @KP_ChatToShop หรือ LINE: @Kingpowerofficial เพื่อสอบถามสินค้าโฮม เดลิเวอรี โดยไม่ต้องมีไฟลต์บิน เสมือนมี Personal Shopper ให้บริการแนะนำและช่วยเลือกซื้อสินค้าอย่างใกล้ชิด ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 7 วัน โดยให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. 2. KING POWER ONLINE บริการช้อปออนไลน์ ผ่านช่องทาง www.kingpower.com และแอปพลิเคชัน King Power โดยคุณสามารถเข้าถึงสินค้าที่มองหาได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วคลิก เพลิดเพลินได้ทั้งสินค้าปลอดภาษี และสินค้า Non-Duty Free พร้อมจัดส่งสินค้า ภายใน 7 วัน ช้อปได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับลูกค้าใหม่ลงทะเบียนก่อนช้อป รับส่วนลด 200 บาท เมื่อช้อปครบ 800 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นดีๆ ที่จะมาตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคุณอีกด้วย 3. KING POWER CALL TO SHOP กริ๊งเดียวครบ จบทุกการช้อป! อยู่บ้านก็ช้อปได้ด้วย Shopping Assistant ผู้ช่วยช้อปส่วนตัว ที่จะทำให้คุณเก็บครบทุกช้อปปิ้งลิสต์ พร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 7 วัน แค่โทร. 0 2338 7870 เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. หรือจะสะดวก Inbox (อินบอกซ์) เข้ามาสอบถามรายละเอียดสินค้าที่สนใจก่อนที่ Facebook King Power ก็ได้เช่นกัน เพลิดเพลินไปกับสินค้าจาก คิง เพาเวอร์ ได้ทุกที่ในราคาพิเศษ เพลิดเพลินไปกับสินค้าจาก คิง เพาเวอร์ ได้ทุกที่ในราคาพิเศษ สินค้าแนะนำจากแผนกความงามและสุขภาพ EVIDENS DE BEAUTÉ The Total Shield Exclusive Set Duo (2 x 30 มล.)…
Editor
25 August 2021
Lifestyle

Lifestyle
5 ท่า ยืดสายคลายเส้น
บรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายๆ ที่บ้าน

เมื่อพูดถึง “โรคออฟฟิศ​ซินโดรม” หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถึงจะเป็นสาเหตุของโรคนี้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยร่วมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การขับรถ หรือทำกิจกรรมด้วยท่าเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการขยับหรือเปลี่ยนท่าทาง ล้วนทำให้เกิดอาการของโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และเมื่อสะสมอาการไว้เป็นเวลานาน ก็จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย จนเกิดอาการปวดหรือร้าวชาลงแขนและหลังได้ ปัจจุบันการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีหลายวิธี หลักๆ คือ เน้นการกายภาพบำบัดทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ​ ซึ่งก็มีวิธีการรักษาให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บของแต่ละบุคคล เป็นต้นว่า การกายภาพบำบัดด้วยคลื่นอัลตราซาวด์, การกายภาพบำบัดด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า, การกายภาพบำบัดด้วยแผ่นประคบร้อน และการกายภาพบำบัดด้วยการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล​ แต่ในสถานการณ์โรคระบาด​เช่นนี้ การจะเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปกายภาพบำบัด อาจดูไม่ค่อยสะดวกนัก Power จึงอาสาจัด 5 ท่า สำหรับยืดเส้นเบื้องต้น เพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน CHEST AND SHOULDERS หน้าอกและไหล่ เป็นจุดที่มักเป็นปัญหา​ของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ เนื่องจากต้องนั่งโต๊ะทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์​เป็นเวลานาน จึงทำให้กระดูกสันหลังส่วนคอและไหล่ตึง เราสามารถบริหารกล้ามเนื้อส่วนนี้ได้ ด้วยการประสานนิ้วมือทั้ง 2 ข้างไว้ด้านหลัง แล้วยกแขนขึ้นเพื่อให้รู้สึกตึงที่หน้าอกและไหล่ด้านหน้า ดึงคางลงเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณกระดูกคอ ทำท่านี้ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที จะช่วยลดอาการปวดตึงบริเวณหน้าอกและไหล่ได้ WRISTS AND FOREARM ข้อมือและแขนบริเวณระหว่างข้อศอกกับข้อมือ คืออีกหนึ่งจุดที่พบอาการปวดค่อนข้างบ่อย ซึ่งเกิดจากท่าทางที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการงอไหล่ไปข้างหน้ามากเกินไป ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดลดลง ทำให้เกิดอาการปวด หรือในบางครั้งจะรู้สึกเสียวซ่า หรือชาจากข้อมือลามขึ้นไปที่แขน แนะนำให้บริหารด้วยการประสานฝ่ามือและนิ้วไว้ที่กลางหว่างอก เหมือนกำลังทำท่าพนมมือไหว้ แล้วหันศอกออกจากร่างกายตั้งฉาก 90 องศา จากนั้นค่อยๆ ลดมือลงจนกว่าจะรู้สึกตึงรอบๆ ข้อมือ กดค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำแบบเดิม 3 เซต LOWER BACK หลังส่วนล่าง เป็นบริเวณที่เกิดอาการบ่อยไม่แพ้กัน สาเหตุหลักจากการนั่งในท่าเดิมๆ นานเกินไป ทำให้ส่งผลต่อกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอวให้ได้รับการบาดเจ็บจนเกิดอาการตึงและปวด การยืดด้วยท่า Half Wall Hang จะช่วยลดอาการปวด และป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมได้ วิธีทำง่ายๆ โดยหันหน้าเข้ากำแพง เว้นระยะห่างให้สามารถวางมือแตะผนังได้และยืดแขนให้สุด โน้มตัวลงไปโดยให้หน้าอกขนานกับพื้น สามารถปรับระยะการยืนให้ได้ระยะที่พอดีโดยก้าวถอยหลังเล็กน้อย เพื่อให้ลำตัวตั้งฉากกับสะโพก ขาทั้ง 2 ข้างตั้งตรง นอกจากนี้หลังและแขนต้องอยู่ในแนวเดียวกับหู เมื่อทำท่านี้แล้วจะรู้สึกตึงบริเวณ​เอ็นร้อยหวาย ที่สำคัญอย่ากดลำตัวให้ต่ำกว่า 90 องศา เพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของหลังส่วนล่างแทน ทำท่านี้ค้างไว้ 10 วินาที ทำทั้งหมด 3 เซต HIP FLEXORS กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการงอสะโพกมาทางด้านหน้า เป็นจุดที่หลายคนมักเกิดอาการบาดเจ็บเช่นกัน เนื่องจากการนั่งนานๆ ทำให้ข้อสะโพกอยู่ในลักษณะงอเป็นเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อในส่วนของ Iliopsoas หดสั้นลง และเมื่อหดสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการตึงตัวขึ้น เมื่อเรามีการเปลี่ยนท่าทางในอิริยาบถ​ใหม่ๆ หลังจากนั้นทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่หดอยู่ ยืดยาวออกไปอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดการดึงรั้งที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง จึงก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ในการคลายกล้ามเนื้อส่วนนี้ ให้เริ่มจากการอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่า ให้ขาข้างที่ต้องการยืดก้าวไปทางด้านหลัง จากนั้นถ่ายน้ำหนักมาไว้ที่ขาด้านหน้าและตั้งฉาก 90 องศา ดันสะโพกไปด้านหน้าเล็กน้อย ให้พอรู้สึกตึงบริเวณสะโพกและต้นขา วางมือไว้บนขาที่อยู่ด้านหน้า เพื่อช่วยรักษาบาลานซ์ ยืดเหยียดค้างไว้ 30 วินาที จากนั้นสลับทำอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน HAMSTRINGS เอ็นร้อยหวาย จุดสำคัญที่มักถูกละเลย เพียงเพราะคิดว่าการนั่งคงไม่เกี่ยวอะไรกับเอ็นรอยหวาย…
Editor
24 August 2021