A MOTHER’S TOUCH
เพราะ “แม่” คือผู้ให้กำเนิด คือผู้ที่คอยเลี้ยงดูลูกด้วยความรักใคร่ทะนุถนอมจนเติบใหญ่ ความรักบริสุทธิ์ของแม่ จึงเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เราแต่ละคนดำรงอยู่เพื่อขับเคลื่อนและดำเนินชีวิตได้ในทุกวันเนื่องในโอกาสวันแม่ 12 สิงหาคม ได้เวียนมาอีกครั้ง นิตยสาร Power ขอพาคุณผู้อ่านไปสัมผัสชีวิตในฐานะ “แม่” ของ 3 สาว 3 สไตล์ ที่ครบเครื่องทั้งสวย เก่ง และยังอุทิศตนเองให้กับการดูแลลูกๆ ได้อย่างน่าประทับใจ
POWER EXCLUSIVE
สิรินยา บิชอพ
ชีวิตครอบครัว
เติมเต็มด้วยลูก
ซินดี้เลือกคลอดแบบธรรมชาติ เพราะมองว่าเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ ที่จะได้ผ่านประสบการณ์ตรงนั้น ที่สำคัญ เด็กจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการคลอดแบบธรรมชาติด้วย
เมื่ออยู่หน้ากล้อง ท่ามกลางสปอตไลต์ “ซินดี้–สิรินยา บิชอพ” คือหนึ่งในตัวแทนสาวเก่งครบสูตร ที่มาพร้อมทั้งความสวยและความสามารถ ตลอดเวลาที่โลดแล่นในวงการบันเทิง เธอได้พิสูจน์ฝีมือและผลงานจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ไม่ว่าจะได้รับบทบาทไหน จนเธอได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในท็อปโมเดลระดับต้นๆ ของวงการนางแบบเมืองไทย เป็นนักแสดงดีกรีนางงามที่สวยไม่สร่าง และยังเป็นพิธีกรมากความสามารถ
ทว่าชีวิตเบื้องหลังแสงแฟลชของซินดี้กลับเรียบง่ายและไม่ต้องมีองค์ประกอบความสุขอะไรมากมาย เพราะเธอพอใจและมีความสุขกับครอบครัวเล็กๆ แสนอบอุ่น ที่เธอและสามีสุดหล่อ “ไบรอน บิชอพ” ร่วมกันสร้างขึ้นด้วยความรักและความเข้าใจ โดยมี “น้องเลล่า” ลูกสาวคนสวยวัย 8 ขวบ และ “น้องเอเดน” ลูกชายสุดน่ารักวัย 5 ขวบ เป็นพยานรักตัวน้อยๆ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว” ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
การเป็นคุณแม่ คือชีวิตที่ใฝ่ฝัน
นิยามคำว่า “ครอบครัว” ของคู่รักแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป แต่สำหรับซินดี้และไบรอน ด้วยความที่เติบโตมาภายใต้สายใยครอบครัวที่แข็งแกร่ง ทำให้ทั้งคู่เห็นตรงกันตั้งแต่คิดจะเริ่มสร้างครอบครัวแล้วว่า “ลูก” คือหนึ่งในหัวใจสำคัญของคำว่าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
“ทั้งซินดี้และไบรอน เราโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นมาก ถึงซินดี้จะเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยได้เลี้ยงน้อง แต่ก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งถ้าได้แต่งงาน ก็อยากมีลูก อยากสัมผัสโมเมนต์ของการเป็นแม่ เพราะฉะนั้นพอวางแผนจะเริ่มต้นชีวิตคู่ ซินดี้ก็วางแผนกับคุณไบรอนเลยว่า ถ้าจะมีลูก เราต้องวางแผนชีวิตกันอย่างไร เพราะการมีลูกหนึ่งคน เป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องพร้อมทั้งกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ ถ้าเราอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุด เราต้องเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะฉะนั้นตั้งแต่แต่งงานปีแรก ซินดี้วางแผนเลยว่า เราต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ จะผ่อนบ้านหมดเมื่อไหร่ เพื่อเตรียมพร้อมจะมีลูกได้แบบไม่ต้องกังวล”
หลังจากเตรียมความพร้อมอยู่ 4 ปี ในที่สุดก็มาถึงวันที่รอคอย เมื่อซินดี้ให้กำเนิดลูกสาวสุดน่ารัก น้องเลล่า ซึ่งเป็นคำมาจากภาษาอารบิก แปลว่าค่ำคืนที่สวยงาม หรือผู้หญิงผมดำ
“ซินดี้โชคดีมาก พอปล่อยปุ๊บ น้องก็มาเลย” ซินดี้บอกเล่าอย่างอารมณ์ดี “ช่วงที่อุ้มท้องมา 9 เดือน สบายมาก ไม่แพ้มากนัก จะมาหนักคือช่วงตอนคลอด เจ็บท้องอยู่ประมาณ 40 ชั่วโมง ซินดี้เลือกคลอดแบบธรรมชาติ เพราะมองว่าเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ ที่จะได้ผ่านประสบการณ์ตรงนั้น ที่สำคัญ เด็กจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการคลอดแบบธรรมชาติด้วย โดยเฉพาะเรื่องภูมิต้านทาน ซินดี้เลยมองว่าธรรมชาติเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุดแล้ว”
คุณแม่เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยยังบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของการเป็นแม่ว่า ถึงจะนึกภาพการเป็นแม่มาตลอด แต่พอได้สัมผัสประสบการณ์จริง ต้องยอมรับว่า ห่างไกลจากภาพที่คิดไว้พอสมควร เพราะหน้าที่ของแม่นั้นมีความท้าทายมากมายรออยู่ที่ใครไม่เคยสัมผัสไม่มีวันได้รับรู้
“ซินดี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเลี้ยงลูกเอง ให้นมเอง ทำเองทุกอย่าง เพราะซินดี้เชื่อว่าไม่มีใครจะดูแลเขาได้ดีกว่าเราที่เป็นแม่ เพราะฉะนั้นด้วยความที่เราเป็นสายเนิร์ดประมาณหนึ่ง เวลาจะทำอะไรต้องคิดวางแผน อย่างที่ผ่านมาเวลาจะไปเที่ยว ซินดี้ต้องวางแผนเที่ยวไว้ก่อนให้เรียบร้อย ดังนั้นพอคิดว่าจะเลี้ยงลูกเอง ยิ่งต้องทำการบ้าน ศึกษาข้อมูลให้หนัก ช่วงเวลา 9 เดือนที่อุ้มท้อง พยายามอ่านหนังสือเพื่อเก็บข้อมูลให้มากที่สุด จนพอคลอดแล้วก็ยังอ่าน เพื่อติดตามพัฒนาการของลูกในช่วงเดือนต่างๆ ว่าเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่อยู่ตลอดเวลา”
อย่างไรก็ตาม ซินดี้บอกว่าถึงข้อมูลจะแน่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องนำมาใช้ในการเลี้ยงลูกทั้งหมด แค่อาศัยเป็นข้อมูล เพราะเธอเชื่อว่าสุดท้ายแล้วธรรมชาติของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลี้ยงลูกจึงไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว ซึ่งเรื่องนี้พอได้สวมบทบาทคุณแม่ลูกสอง ซินดี้ได้เห็นความแตกต่างของลูกทั้งสองคน ทั้งที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทำให้ยิ่งเข้าใจเป็นอย่างดี
“ตอนที่มีลูกคนที่ 2 ซินดี้คิดว่าจะง่าย เพราะผ่านบทเรียนจากลูกคนแรกมาแล้ว แต่เอาเข้าจริงต่างกันคนละเรื่อง แถมพอมีลูกเล็ก 2 คน ช่วงที่ยังเล็กทั้งคู่ ยิ่งหนักต้องอาศัยการเจรจาค่อนข้างมาก เพราะบางครั้งคนเล็กก็ยังงอแง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เพราะลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยเป็นเพื่อนกัน ดูแลกันได้ ก็หายเหนื่อยค่ะ”
จากลูกคนแรก จนกระทั่งมีลูกคนที่สอง อาจจะเพิ่มความชุลมุนวุ่นวายในบ้าน แต่ก็ทำให้ครอบครัวเล็กๆ ของเรา
ความในใจของคุณแม่จอมบงการ
เวิร์กกิ้งมัมคนเก่งยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่มีลูก ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ทุกวันนี้เธอต้องจัดตารางการทำงานเพื่อให้มีเวลาอยู่กับลูกๆ ให้มากที่สุด ส่วนเวลาที่จะสังสรรค์และเฮฮากับเพื่อนฝูงเหมือนเก่า แทบจะลืมไปได้เลย เพราะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวใจของคนเป็นแม่ก็เรียกร้องที่จะอยู่กับลูกเป็นหลัก
“ตารางงานทุกวันนี้ยังยุ่งเหมือนเดิมค่ะ ซินดี้ก็ต้องพยายามบริหารเวลาให้ลงตัว มีสามีและคุณแม่ของซินดี้ผลัดกันช่วยดูแลเด็กๆ แต่ส่วนใหญ่วันเสาร์-อาทิตย์ จะพยายามไม่รับงาน เพื่อให้มีเวลาอยู่กับครอบครัว ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด”
ซินดี้ยอมรับว่า การเป็นแม่ทำให้เธออดรู้สึกรักคุณแม่ของเธอมากขึ้นไม่ได้เช่นกัน เพราะเมื่อมองลูกสาวและลูกชาย ก็เหมือนเห็นภาพตัวเองวัยเด็กที่ทั้งแสบซ่าและซนไม่แพ้กัน
“เวลาเห็นลูกแสดงออกหรือทำอะไร จะย้อนคิดถึงตัวเองบ่อยๆ ว่า สมัยเด็กเราก็เป็นแบบนี้ และแม่ก็คงรู้สึกแบบนี้ บางครั้งถ้าคุณแม่อยู่ร่วมในโมเมนต์นั้นพอดี ซินดี้ก็จะหันมายิ้มและขอโทษคุณแม่ ที่สมัยเด็กเราก็แสบแบบนี้เหมือนกัน” ซินดี้บอกเล่าอย่างอารมณ์ดีถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ไม่รู้ลืม
อย่างไรก็ตาม ถึงจะรักและเห่อลูกตามประสาคุณแม่มือใหม่ขนาดไหน แต่ภายใต้คาแร็กเตอร์คุณแม่ใจดี เจ้าของรอยยิ้มชวนใจละลาย ใครจะคิดว่าในบล็อกส่วนตัวที่ซินดี้ใช้เป็นไดอารี่ส่วนตัว เธอกลับยอมรับอย่างใจกว้างว่า เธอเองก็เป็นหนึ่งใน Tiger Mum หรือคุณแม่จอมบงการ ที่มีมาตรฐานสูงคนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งเธอเชื่อว่าไม่ต่างจากคุณแม่หลายๆ คนที่อยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ อยากให้เขาทำในสิ่งที่เรารู้ว่าเขาเก่ง แต่บางครั้งกลายเป็นเรากดดันลูกจนเกินไป หรือพยายามเปลี่ยนแปลงลูกจนเกินไปเพราะฉะนั้นเพื่อลดดีกรีความเป็นแม่เสือลง สิ่งที่เธอพยายามบอกลูกเสมอ คือ “แม่รักลูกในแบบที่ลูกเป็น แม่จะไม่พยายามเปลี่ยนตัวหนู แต่จะคอยชี้ทางและคอยแนะนำให้ลูกเดินตามความฝัน เป็นตัวของตัวเอง และเป็นคนดี
“ซินดี้จะเลี้ยงเขาให้เป็นธรรมชาติ เติบโตตามวัย เป็นตัวของตัวเอง ซินดี้เลี้ยงลูกด้วยเหตุผล ถ้าผิดก็ลงโทษ แต่ไม่ใช้การตี แต่จะหาวิธีอื่นๆ เพื่อให้เขารู้ว่านี่กำลังถูกลงโทษ”
ครอบครัวที่อบอุ่น คือคำตอบของชีวิต
สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นแม่อยู่ภายใน ถ้าให้ลองหลับตา จินตนาการภาพตัวเองใช้ชีวิตคู่กับสามี โดยไม่มีเลล่าและเอเดน ซินดี้บอกว่า มาถึงวันนี้เธอนึกภาพช่วงเวลานั้นไม่ออกอีกแล้ว
“ถึงการมีลูกจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปมากแต่ก็ต้องบอกว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากลูกคนแรก จนกระทั่งมีลูกคนที่ 2 อาจจะเพิ่มความชุลมุนวุ่นวายในบ้าน แต่ก็ทำให้ครอบครัวเล็กๆ ของเราเต็มไปด้วยความสุข สมาชิกทุกคนกำลังเรียนรู้ไปด้วยกัน เราเองในฐานะแม่ก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากลูก ทุกวันนี้ซินดี้ภูมิใจ และดีใจที่เห็นลูกๆ มีความสุข รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด เพราะทั้งซินดี้และไบรอนมีความเชื่อมาตลอดว่า ความสุขของคำว่าครอบครัวไม่ได้เกิดจากเงินทอง แต่เกิดจากความรู้สึกดีๆ ที่คนในครอบครัวมีให้แก่กัน”
ซินดี้บอกเล่าถึงสัญญาใจที่เธอและสามีเชื่อมใจไว้ด้วยกันว่า “ตลอดเวลาที่เราคบกัน เป้าหมายของเรา คือการมีครอบครัว มาถึงวันนี้เราได้แต่งงานและมีลูกที่น่ารัก เท่ากับว่าเราได้ทำเป้าหมายสำเร็จแล้ว
“ซินดี้อาจไม่ใช่คุณแม่ที่เพอร์เฟ็กต์ แต่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะซินดี้เชื่อว่าไม่มีทางไหนที่จะทำให้เราเป็นคุณแม่ที่สมบูรณ์แบบ แต่มีนับล้านวิธีที่จะเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งได้” ซินดี้กล่าวทิ้งท้ายอย่างกินใจ
POWER EXCLUSIVE
ณัฐสินี โกศลพิศิษฐ์
ชีวิตการเป็นแม่
ช่างมหัศจรรย์
การเลี้ยงลูก คือการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันทั้งแม่และลูก
เราเป็นเพื่อนที่พร้อมจะรับฟังลูกในทุกๆ เรื่อง
ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่ใช่คุณแม่ที่ต้องถูกทุกเรื่อง
เห็นใบหน้าสวยใสของ “คุณแม่เฮี้ยง–ณัฐสินี โกศลพิศิษฐ์” หลายคนอาจสงสัยว่าเธอเป็นใคร แต่ถ้าขยายความอีกนิดว่า เธอคือคุณแม่คนสวยของ “น้องณัชชาลูกสาวพี่บ๊อบ” เด็กหญิงตัวน้อยที่หากใครที่เฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ช่วงเย็น ต้องอดอมยิ้มไปกับลีลาของเธอขณะส่งเสียงเจื้อยแจ้วสอนภาษาอังกฤษและจีนไม่ได้ เท่านี้คงพอทำให้หลายคนร้องอ๋อ และเริ่มอยากทำความรู้จักกับสาวสวยคนนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ทั้งหลายที่สงสัยมาตลอดว่า เธอมีไม้เด็ดอะไรถึงบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ตัวน้อยจนกลายเป็นไอดอลของเด็กๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกคำถามกำลังจะคลี่คลาย เพราะในบทสัมภาษณ์จากนี้ เฮี้ยง ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ “บ๊อบ–ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรหนุ่มชื่อดัง ไม่เพียงจะมาไขทุกข้อข้องใจ แต่ยังพร้อมจะเล่าถึงวีรกรรมต่างๆ นานา ครบทุกรสชาติของการเป็นแม่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเธอมีลูกถึง 4 คน นำทีมโดย “ณัชชา–ณัชชาวีณ์” อายุ 9 ขวบ ถัดมาคือคู่แฝด “พุฒ–ณติวัชร์” และ “พร้อม–ณัติวิชญ์” วัย 5 ขวบ คนสุดท้องคือ “เภา–ณัฐดรุตม์” วัย 3 ขวบ ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเฉลยก็พอจินตนาการตามถึงภาพความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นภายในบ้านน้อยหลังนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะงานนี้คุณแม่เฮี้ยงบอกเลยว่า “บ้านเราลูกเยอะจนเรียกได้ว่า ข้ามขั้นความปั่นป่วนไปไกลกว่าความวุ่นวายไปแล้ว”
ลูกสองคือความฝัน ลูกสี่คือความเป็นจริง
เฮี้ยง คือตัวแทนของผู้หญิงรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นชีวิตคู่ในวัยที่พอเหมาะ ตั้งเป้าจะมีลูกแค่ 2 คน ตามสไตล์ครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัว แต่สุดท้ายราวกับโชคชะตาลิขิตไว้ เพราะหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนโต และตั้งท้องอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มาแค่ 1 แต่กลับเป็นฝาแฝด ซึ่งเจ้าตัวออกปากว่า คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีลูกแฝด แถมตอนที่สามีคิดจะไปทำหมัน เธอก็ตั้งท้องลูกคนที่ 4 พอดี
“การมีลูก 4 คนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะท้องสุดท้าย ตอนนั้นพี่บ๊อบนัดคุณหมอจะไปทำหมันอยู่แล้วนะคะ (หัวเราะ) ตอนนี้หน้าที่หลักๆ ของเฮี้ยงเลยกลายเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ดูแลลูกๆ ไปโรงเรียน และสแตนด์บายรอเขากลับมาบ้าน
“ตอนที่ตั้งท้องน้องแฝด เฮี้ยงคลอดก่อนกำหนด น้องแฝดเลยอาจจะไม่ค่อยแข็งแรง และต้องได้รับการดูแลเรื่องต่างๆ มากกว่าเด็กทั่วไป เฮี้ยงเลยต้องมีพี่เลี้ยงมาช่วยแบ่งเบาภาระของเราในบางเรื่อง ซึ่งหลังจากที่มีพี่เลี้ยง ทำให้เฮี้ยงพบข้อดีอีกอย่าง คือทำให้เราเป็นคุณแม่ที่ไม่เครียด ได้มีระยะห่างจากลูก เพื่อถอยออกมาพิจารณาว่า ลูกแต่ละคนมีจุดเด่นและจุดด้อยในเรื่องไหน และมีอะไรที่เราจะเพิ่มเติมให้เขาได้ ซึ่งเฮี้ยงว่า ถ้าเราไม่ถอยออกมา ทุกวันยังวุ่นกับการอาบน้ำให้ลูกคนนี้ ป้อนข้าวลูกอีกคน เราจะไม่มีวันได้เจอ ที่สำคัญ ด้วยความที่เราอยู่คอนโดมิเนียม เฮี้ยงค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย การมีพี่เลี้ยงช่วยเป็นหูเป็นตาให้เราได้มาก แต่ตอนนี้ลูกๆ เริ่มโตขึ้น เราก็มีพี่เลี้ยงน้อยลง เหลือแค่ 2 คน คอยดูลูกเราห่างๆ ไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลือเขาทุกเรื่อง เพราะเฮี้ยงอยากให้ลูกรู้จักพึ่งตัวเอง”
คุณแม่สายชิลล์ เลี้ยงลูกไม่อิงตำรา
ในฐานะคุณแม่ที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกอย่างโชกโชน เฮี้ยงนิยามตัวเองว่าเป็นคุณแม่สายชิลล์ ตั้งแต่เลี้ยงลูกคนแรกจนถึงลูกคนที่ 4 ก็ยังเป็นเช่นนั้น ถึงจะอ่านหนังสือเก็บข้อมูลไว้มากมาย แต่การเลี้ยงลูกตามแบบฉบับของเธอ คือไม่มีสูตรตายตัว เน้นเดินสายกลาง บางครั้งเธอก็นำวิธีการเลี้ยงลูกที่คุณแม่เคยใช้กับเธอแล้วเห็นว่าดี มาใช้กับลูกตัวเองบ้าง แต่ถ้าวิธีไหนที่มองว่าอาจจะไม่ใช่ ก็ผ่านไป
“เฮี้ยงมองว่า การเลี้ยงลูก คือการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันทั้งแม่และลูก เราเป็นเพื่อนที่พร้อมจะรับฟังลูกในทุกๆ เรื่อง ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่ใช่คุณแม่ที่ต้องถูกทุกเรื่อง บางครั้งถ้าเราทำผิดหรือพลาดไป ก็สามารถเอ่ยคำขอโทษลูกได้เหมือนกัน เฮี้ยงจะไม่เลี้ยงลูกด้วยการตัดสินใจทุกอย่างให้เขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้คิด และเลือกทางเดินของตัวเองในกรอบกว้างๆ ที่เราวางไว้ให้เขา ซึ่งเฮี้ยงใช้วิธีนี้เลี้ยงลูกทั้งสี่คน และทำให้เฮี้ยงรู้สึกว่าเราได้เห็นวิธีคิดของเขา และจับทางลูกแต่ละคนได้อย่างถูกต้อง”
เล่าถึงตรงนี้ คุณแม่คนสวยถือโอกาสยกตัวอย่างถึงณัชชา ลูกสาวคนเก่งว่า “ตอนเล็กๆ เขาเป็นเด็กที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย จะร้อง จะเต้น ก็ไม่มีทักษะ หน้าตาก็ธรรมดา แต่พอวันหนึ่งเขาจับทางของตัวเองได้ เขาก็ไปได้ไกลตามธรรมชาติของเขา เหมือนกับน้องพร้อม เขาเป็นเด็กที่มีไอคิวค่อนข้างดี เรื่องวิชาการ เฮี้ยงไม่ค่อยห่วง แต่แทนที่จะดันลูกไปทางสายเรียนให้สุดโต่ง เฮี้ยงกลับเลือกที่จะให้เขาบาลานซ์ด้วยการชักชวนให้เขาไปเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นซึ่งเขาไม่ถนัด แต่จะช่วยให้เขาได้มีโอกาสลองอะไรใหม่ๆ อีกหลายอย่างในชีวิต”
เมื่อถามถึงความแสบของลูกๆ เฮี้ยงยกตำแหน่งตัวแสบให้ลูกชายคนเล็กไปครองแบบไม่ต้องคิดนาน ส่วนลูกที่ได้ดั่งใจคุณแม่มากที่สุด ตำแหน่งนี้ตกเป็นของณัชชา “เขาเป็นเด็กที่บาลานซ์ ไม่สุดโต่งเหมือนแม่ เรียนดี กิจกรรมเด่น เวลาอยู่บ้าน เขาจะไม่ใช่เด็กหวานๆ เรียบร้อย แต่มีความเป็นหัวหน้าแก๊ง เขาจะมีวิธีพูดที่ไม่ใช่การออกคำสั่ง แต่น้องๆ ยอมทำตาม ณัชชาเหมือนไวไฟ ฮ็อตสปอต ที่วางไว้แล้วแพร่กระจายความเป็นตัวเขาไปยังน้องๆ อย่างทุกวันนี้ ถึงคู่แฝดจะเรียนโรงเรียนไทย แต่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะเวลาเล่นกัน พี่น้องจะพูดภาษาอังกฤษกัน ทุกวันนี้เฮี้ยงพยายามให้เด็กๆ ใช้เวลาทำกิจกรรมด้วยกัน เพราะเฮี้ยงว่านี่คือช่วงเวลาที่มีค่า อีกหน่อยเขาโตขึ้น ต่างคนต่างมีเพื่อน โอกาสแบบนี้ก็ยากแล้ว อย่างทุกเย็นถ้าเขาอยากดูทีวีด้วยกัน เฮี้ยงก็เปิดให้ดูด้วยกันเครื่องเดียว จะไม่ให้หยิบไอแพดคนละเครื่องไปต่างคนต่างเล่น เพราะอย่างน้อยเวลาดู หรือดูจบแล้ว เขาก็ยังเก็บเอาสิ่งที่ดูไปคุยกันต่อ ยังคุยเรื่องเดียวกัน ไม่มีใครคนหนึ่งที่รู้สึกแตกแถวออกไป”
คุยกันมาถึงตรงนี้ ชักอดสงสัยไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วเฮี้ยงเป็นคุณแม่ใจดีหรือสายโหดกันแน่ “มีลูกเยอะแบบนี้ ไม่ดุก็คงไม่ได้” แต่การดุของเธอไม่ใช้ไม้เรียวหรือการตี เพราะเคยลองแล้วไม่ได้ผล ดังนั้นเธอจึงถอยมาสยบความซนของลูกๆ ด้วยการนิ่ง เพื่อให้เวลาตัวเองได้สงบสติอารมณ์ ขณะที่ลูกก็ได้หยุดและทบทวนถึงความผิดที่ตัวเองทำ ตรงกันข้ามกับฝ่ายคุณพ่อที่เป็นสายเอ็นเตอร์เทน เป็นขวัญใจของลูกๆ จนกลายเป็นว่า ปัญหาเดียวที่ทำให้เธอและสามีต้องเคืองกันบ้าง คือสามีปล่อยให้ลูกเล่นเต็มเหนี่ยว ขณะที่หัวอกคนเป็นแม่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกเหลือเกิน
การเป็นแม่ทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า “รัก” แบบไม่มีเงื่อนไข รักด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์จริงๆ
การเป็นแม่ทำให้เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมากขึ้น
ชีวิตนี้มีเป้าหมายมากขึ้นเพราะลูก
อย่างไรก็ตาม เฮี้ยงยอมรับว่า สำหรับเธอ การเป็น “แม่” ทำให้ได้สัมผัสถึงพลังความรักอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เพราะแม้ที่ผ่านมาเธอเคยได้ยินคุณแม่พูดบ่อยๆ ว่า พอเป็นแม่ถึงจะเข้าใจ มาถึงวันนี้เธอเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
“การเป็นแม่ทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า “รัก” แบบไม่มีเงื่อนไข รักด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์จริงๆ การเป็นแม่ทำให้เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมากขึ้น พยายามหันมาดูแลตัวเอง เพราะอยากมีสุขภาพที่แข็งแรง อยากจะอยู่บนโลกนี้ไปนานๆ เพื่อรอดูความสำเร็จของเขา มองดูเขามีความสุขในแบบ
ที่เขาเลือก เฮี้ยงรู้สึกว่าชีวิตเราดีขึ้นเมื่อมีเขาทั้ง 4 คนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เขาทำให้เราค้นพบว่า บางครั้งการทำงานก็ไม่ใช่เพื่อเงินเสมอไป แต่ทุกวันนี้
ในบางงานเราทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นว่า บางครั้งคนเราก็เลือกทำในสิ่งดีๆ โดยที่ไม่ได้หวังว่าต้องได้เงินเป็นสิ่งตอบแทน”
จากนี้เฮี้ยงหวังว่า สองมือเล็กๆ ของเธอจะปั้นให้ลูกทั้ง 4 คนเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ หากในอนาคตพวกเขาจะสร้างครอบครัวของตัวเองต่อไป ในฐานะแม่ เธอต้องมั่นใจว่าได้สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่แข็งแรงให้กับพวกเขาแล้ว
“ถึงจะรักเขาอย่างหมดหัวใจ แต่ก็ไม่ใช่ตามใจลูกทุกอย่าง อย่างณัชชาเอง เฮี้ยงย้ำกับเขาเสมอว่า หนูเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ได้รับโอกาสให้ทำงาน มีผลงานทางหน้าจอ แต่หนูไม่ได้พิเศษกว่าใครๆ เพราะฉะนั้น เวลาจะทำอะไรหรือไปไหน ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ส่วนลูกชาย เฮี้ยงจะพยายามปลูกฝังให้เขารู้จักให้เกียรติผู้หญิง” คุณแม่คนสวยกล่าวทิ้งท้าย พร้อมเผยถึงกลเม็ดที่ทำให้สายใยรักในครอบครัวแข็งแกร่ง “หลายครั้งที่คนเป็นแม่มักทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับลูก จนลืมนึกถึงสามี และปล่อยทิ้งให้เขาเป็นคนนอก แต่สำหรับครอบครัวเรา เฮี้ยงจะพยายามบาลานซ์ความสัมพันธ์ตรงนี้ เรายังใช้เวลาด้วยกัน 2 คนบ่อยๆ เพียงแต่เวลาไปไหนด้วยกัน เราก็อยากจะพาพวกเขาไปด้วย หัวข้อที่เราคุยกันจากแต่ก่อนอาจจะเป็นเรื่องสัพเพเหระ แต่ตอนนี้หัวข้อที่เราคุยกันแล้วมีความสุข คือเรื่องของลูก”
POWER EXCLUSIVE
สุมณทิพย์ ชี
คุณแม่สุดแซบของ
เจ๊เปาบางพลี
กิ๊บว่าเป็นบุญของเขานะคะ เขาไม่เพียงได้รับความรักจากคนในครอบครัว
แต่ยังได้รับความรักและความเอ็นดูจากคนในสังคม
ซึ่งกิ๊บว่าจะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เขายิ่งต้องเป็นคนดี
ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา โลกโซเชียลได้แจ้งเกิดซูเปอร์สตาร์สวยหล่อมากมาย แต่ถ้าพูดถึงซูเปอร์สตาร์ฟันน้ำนม ที่ความน่ารักและทะเล้นแผลงศรโดนใจชาวโซเชียลเข้าอย่างจัง นาทีนี้คงไม่มีใครฮ็อตเกิน “พอลลีน่า ชี” หรือ “น้องเป่าเปา” เด็กหญิงเจ้าของฉายา “หน้าเดียว” แห่งย่านบางพลี ลูกสาวสุดน่ารักของ “บี้–ธรรศภาคย์ ชี” และ “กุ๊บกิ๊บ–สุมณทิพย์ ชี” ที่ตอนนี้ความฮ็อตแซงหน้าคุณพ่อคุณแม่ ขึ้นแท่นเป็นขวัญใจมหาชนทั่วหล้า ไม่เว้นแม้แต่ดารานักแสดงและคนในวงการบันเทิงเมืองไทย ก็ยังต้องมนตร์ของเป่าเปา ขอสมัครเป็นแฟนคลับกันเพียบ
แน่นอนว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความฮ็อตของเป่าเปาในวันนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่ไซส์มินิที่มีดีกรีความแซบและพลังในการเลี้ยงลูกเหลือล้น ชนิดที่ว่าหลายคนอาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะภาพคุ้นตาของกุ๊บกิ๊บที่สังคมรู้จัก คือตัวแทนสาวเปรี้ยวสายแซบ เป็นนางร้ายสายตลก แต่ในวันนี้เธอได้เผยอีกมุมอบอุ่นให้สังคมเห็น ในฐานะคุณแม่ยังสาวที่ใช้หัวใจและสัญชาตญาณเลี้ยงดูเป่าเปา ลูกสาวสุดที่รักอย่างสุดความสามารถ
“เป่าเปา” คือความสำเร็จของชีวิต
จากผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสุขกับปัจจุบัน ยิ้มและร้องไห้ไปกับทุกเรื่องราวที่เข้ามาตามแต่โชคชะตาจะพาไป ไม่เคยมีเป้าหมายและความฝันในชีวิตที่ต้องวิ่งหรือแข่งขันกับใครเพื่อไปให้ถึง จนกระทั่งวันที่ได้เป็นแม่ เธอถึงได้สัมผัสกับรสชาติของความสำเร็จในชีวิต และรู้ว่าเป้าหมายของชีวิตจากวันนี้ไปคืออะไร
“กิ๊บเป็นคนที่ไม่มีความฝัน การเป็นดาราก็ไม่ใช่ความฝันของกิ๊บ ที่ผ่านมา กิ๊บใช้ชีวิตแบบไม่มีเป้าหมาย โชคชะตาให้อะไรกับชีวิต กิ๊บก็ใช้ชีวิตไปตามนั้น ถ้าทำแล้วไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เลยทำให้กิ๊บใช้ชีวิตแบบไม่คิดบวก ไม่ต้องกดดัน ไม่มีอะไรให้เครียด ไม่ต้องพยายามแข่งกับใครเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย กิ๊บไม่เคยคิดว่าต้องรวยแค่ไหนถึงพอ หรือต้องดังขนาดไหนถึงพอใจ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเวลารับงาน กิ๊บจะเลือกรับงานที่เป็นตัวกิ๊บเองจริงๆ เลยทำให้ทำผลงานออกมาได้ดี”
กุ๊บกิ๊บยอมรับว่า เธอเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่วาดภาพอนาคตของตัวเองมาตลอด ว่าวันหนึ่งจะเจอผู้ชายที่ใช่ ได้แต่งงานและมีลูก ได้สร้างครอบครัวของตัวเอง แต่สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือการได้ให้กำเนิดเป่าเปา ทำให้เธอเหมือนได้ค้นพบเป้าหมายของชีวิต
“สำหรับกิ๊บ การที่ได้ให้กำเนิดเป่าเปา คือ ความสำเร็จของชีวิตแล้ว จากนี้ไปเป้าหมายของชีวิตเรา คือเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี กิ๊บไม่ได้อยากให้เปาเป็นคนเก่ง เรียนเก่ง หรือโตไปต้องเป็นด็อกเตอร์ เป็นหมอ กิ๊บขออย่างเดียวว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกของเราเป็นคนที่มีความสุขที่สุด บางคนอาจจะบอกว่า การเลี้ยงลูกให้ดีต่างหาก คือ ความสำเร็จ แต่กิ๊บไม่คิดอย่างนั้น กิ๊บเลยจุดของความสำเร็จมาแล้ว ส่วนจะเลี้ยงเขาให้เป็นคนดีได้หรือเปล่า เราได้แต่คาดหวัง แต่สุดท้ายชีวิตที่เหลือเป็นของเขา จะดีหรือเลวอยู่ที่ตัวเขา เราเองแค่เป็นผู้ให้กำเนิดก็ฟินแล้ว” กุ๊บกิ๊บบอกเล่าถึงความรู้สึกของการเป็นคุณแม่มือใหม่อย่างออกรส
งานนั้นจำได้ว่า พอขึ้นรถกลับบ้าน กิ๊บจับมือกับบี้แล้วพูดกันว่า ดีจังเลยเนอะที่มีคนรักลูกเรามากแบบนี้ ในอนาคตถ้าเราสองคนไม่อยู่ คงมีคนเอ็นดูและรักเขาแทนเรา
คุณแม่สายฮา สายทุ่มเท และสายบ้าพลัง
จากความน่ารักน่าเอ็นดูของเป่าเปา บวกกับคาแร็กเตอร์ของเด็กอารมณ์ดี จนทำเอาแฟนคลับหลงรักทั่วบ้านทั่วเมือง คงคลายข้อสงสัยของใครหลายคนที่ก่อนหน้านี้นึกภาพการเป็นคุณแม่ของกุ๊บกิ๊บไม่ออก ต้องยอมรับว่า เธอรับบทบาทการเป็นแม่ได้ดี เพราะเธอไม่เพียงเป็นคุณแม่สายฮา พลังล้น พูดกับลูกได้แบบน้ำไหลไฟดับ ยังขยันสร้างบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะรอบตัวลูกได้ตลอดเวลา จนทำให้เป่าเปากลายเป็นเด็กอารมณ์ดีราวกับโลกทั้งใบมีแต่ความสุข
“ตั้งแต่ตอนท้อง กิ๊บทำการบ้านหนักมาก อ่านข้อมูลจากหลายเว็บ ดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนที่เปาอยู่ในท้อง รู้ว่าอะไรที่จะดีกับเขา เราก็ทำ พยายามควบคุมน้ำหนักทั้งตัวเราและลูก เพราะกิ๊บตั้งใจจะคลอดแบบธรรมชาติ เพราะรู้มาว่าการเบ่งคลอดจะทำให้เด็กได้สารที่ช่วยให้เขามีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ระหว่างที่ท้อง กิ๊บก็จะคุยกับลูกตลอดว่า แม่จะไปที่นี่นะ จะกินอันนี้นะ ซึ่งกิ๊บเชื่อนะว่า เขารับรู้ได้ เพราะอย่างเพลงจีนที่บี้ร้องให้เขาฟังทุกคืนตั้งแต่อยู่ในท้อง ทุกวันนี้เวลาเขาได้ยินเพลงนี้ จะหยุดฟังแล้วก็ยิ้ม”
ทุกวันนี้แม้จะสวมบทคุณแม่ แต่กุ๊บกิ๊บยืนยันว่า เธอดูแลตัวเองเสมอให้เป็นคุณแม่ยังสาวที่ไม่ลดทอนดีกรีความแซบและความเปรี้ยวลง ยังสนุกกับการใช้ชีวิตที่มีลูกเป็นส่วนหนึ่ง “ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ เราชอบพาลูกไปทำกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่รู้หรอกว่า กิจกรรมเหล่านี้จะส่งเสริมพัฒนาการของลูกแบบไม่รู้ตัว กิ๊บเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกตัวเองมากนะ เวลาทำอะไรจะถามตัวเองตลอดว่า มีความสุขกับสิ่งที่ทำหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพอมีลูก กิ๊บเลยใส่ใจความรู้สึกของเขามากๆ ว่า ถ้าเราทำแบบนี้ เขาจะมีความสุขไหม
“กิ๊บพยายามให้เป่าเปาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความสุข เสียงหัวเราะ ได้ใช้เวลาร่วมกัน 3 คนพ่อแม่ลูกให้มากที่สุด อย่างช่วงนี้บี้ต้องไปทำงานที่จีน ได้เจอลูกน้อยลง กิ๊บเลยตัดสินใจว่า จะลดงานของตัวเองลง เพราะไม่อย่างนั้นลูกตื่นมาจะไม่ได้เจอทั้งพ่อทั้งแม่ ซึ่งกิ๊บคิดว่าไม่โอเค ที่สำคัญ พอมีเวลามากขึ้น กิ๊บก็จะพาเขาไปหาพ่อที่จีนได้บ่อยขึ้น”
นักแสดงสาวไซส์มินิ แต่มีหัวใจของความเป็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ ยังฉายภาพแห่งความสุขที่ได้ดูแลเป่าเปาว่า การเป็นแม่ทำให้เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ว่า ต้องลำบากและอดทนในการเลี้ยงลูกขนาดไหน จนทำให้รู้สึกรักคุณแม่มากขึ้น เพราะเธอรับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่มาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่การเป็นคุณแม่ทำให้เธอเข้าใจความรักและมีความอ่อนไหวมากขึ้น
“เดี๋ยวนี้เวลาดูหนังเกี่ยวกับเด็ก เกี่ยวกับการพลัดพราก จะเซ็นซิทีฟมากขึ้นค่ะ จากเคยดูแล้วร้องไห้ระดับ 5 ตอนนี้หนักขึ้นเป็นระดับ 10 (หัวเราะ) กิ๊บไม่เคยมองว่าการเป็นแม่เป็นเรื่องที่เหนื่อย เพราะเรารับรู้ความเหนื่อยตรงนั้นมาอยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ช่วยเลี้ยงหลาน ไม่คิดว่าเป็นเรื่องลำบากที่ต้องตื่นมาตอนกลางคืน เพราะลูกตื่น แต่นี่คือความสุข เพราะถ้าลูกกิ๊บตื่นมาตอนกลางคืน กิ๊บก็พร้อมจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับเขาเสมอ”
ซูเปอร์สตาร์ฟันน้ำนม ขวัญใจชาวไอจี
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของการเป็นคุณแม่ของกุ๊บกิ๊บ คือการได้เห็นลูกสาวของตัวเองเป็นที่รักของคนทั้งประเทศ “กิ๊บว่าเป็นบุญของเขานะคะ เขาไม่เพียงได้รับความรักจากคนในครอบครัว แต่ยังได้รับความรักและความเอ็นดูจากคนในสังคม ซึ่งกิ๊บว่าจะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เขายิ่งต้องเป็นคนดี อย่าทำให้คนที่รักเขาผิดหวัง บางคนบอกกิ๊บว่า เอาความน่ารักของลูกมาออกสื่อแบบนี้ จะทำให้เขาต้องเติบโตมาแบบเป็นคนสาธารณะ ขาดความเป็นส่วนตัว กิ๊บบอกว่าในเมื่อพ่อแม่เขาเป็นดารา เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เลี้ยงดูเขาก็มาจากการทำงานเป็นคนสาธารณะ เพราะฉะนั้นเขาต้องเข้าใจ หรือบางคนมองว่าที่เราทำเป็นการไม่เคารพสิทธิของเขา พอโตมาเขาจะอับอาย ส่วนตัวกิ๊บมองว่าเป็นเรื่องที่เราต้องสอน กิ๊บเชื่อว่าถ้าเขาเป็นลูกกิ๊บ เขาต้องไม่คิดแบบนั้น เหมือนเราเอง ถ้ามีใครเอารูปวีรกรรมตอนเด็กๆ มาเผย เราก็มองว่าเป็นเรื่องสนุกๆ ขำๆ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย ซึ่งกิ๊บเชื่อว่าเปาก็จะคิดแบบนั้น”
อย่างไรก็ตาม กุ๊บกิ๊บบอกว่า ความรักที่เป่าเปาได้รับทุกวันนี้ เธอถือว่าเป็นปรากฏการณ์ เธอย้อนไปถึงครั้งหนึ่งที่เธอและสามีพร้อมด้วยเป่าเปาไปออกงานอีเวนต์ และมีแฟนคลับของลูกมารอมากมาย ในฐานะคุณแม่ก็อดซาบซึ้งใจไม่ได้
“งานนั้นจำได้ว่า พอขึ้นรถกลับบ้าน กิ๊บจับมือกับบี้แล้วพูดกันว่า ดีจังเลยเนอะที่มีคนรักลูกเรามากแบบนี้ ในอนาคตถ้าเราสองคนไม่อยู่ คงมีคนเอ็นดูและรักเขาแทนเรา” กุ๊บกิ๊บกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งและอบอุ่น พร้อมเผยถึงนิยามการเป็นคุณแม่ในแบบกุ๊บกิ๊บว่า เธอไม่ใช่คุณแม่สายโหดที่ใช้ไม้เรียวกับลูก แต่เธอเลือกเป็นคุณแม่ที่จะใช้เหตุผล พร้อมที่จะรับฟังในทุกเหตุผลของลูก
“เวลาที่เป่าเปาทำตัวไม่น่ารัก กิ๊บจะไม่ปล่อยผ่าน ถ้าผิด เขาต้องขอโทษ ด้วยความที่เขาก็แสบ ค่อนข้างทะเล้น บางครั้งกิ๊บแค่ถลึงตาหรือตาโต เขาจะรู้แล้วว่าโกรธ แต่ก็ยังหยั่งเชิงก่อนว่าแม่เอาจริงไหม (หัวเราะ) ถ้าเทียบกับพ่อ กิ๊บจะดุกว่า แต่ก็ไม่ได้ดุพร่ำเพรื่อนะคะ ครั้งหนึ่งคุณแม่กิ๊บเคยบอกว่า อีกหน่อยลูกโตก็จะเริ่มเถียงเหมือนกิ๊บ กิ๊บก็จะแย้งว่ากิ๊บไม่ได้เถียง แต่พูดด้วยเหตุผล ถ้าเป่าเปาเอาเหตุผลมาโต้แย้ง กิ๊บพร้อมจะฟัง กิ๊บชอบให้คุยกันด้วยเหตุผล สมัยก่อนแม่อาจจะเลี้ยงกิ๊บแบบไม่ให้เถียง ให้ทำตามที่แม่บอก แต่กิ๊บคิดว่าสำหรับเปา กิ๊บจะพยายามรับฟังเหตุผลของเขา และอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องห้ามมากกว่า” กุ๊บกิ๊บทิ้งท้ายถึงนิยามการเป็นแม่ในแบบที่เธอคิดว่าดีที่สุดสำหรับเป่าเปา