BEAUTY OF FAITH
มหาวิหารดูโอโมแห่งมิลานที่ใช้เวลาสร้างกว่า 500 ปี โดยด้านหน้า (Façade) ออกแบบโดย Pellegrino Pellegrini แต่สร้างจริงก็มีการแก้ไขดัดแปลง แต่ก็เป็นด้านหน้ามหาวิหารที่มีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำ บ้างก็ว่าเหมือนเทียร่า
Connoisseur’s Routes
สำหรับสุภาพบุรุษผู้มีรสนิยมวิไล การเดินทางไม่จำเป็น
ต้องเป็นเรื่องท้าทายหรือผจญภัยเพียงอย่างเดียว
STORY & PHOTOGRAPHY
SETHAPONG PAWWATTANA
มิลานได้ชื่อว่าเป็นเมืองแฟชั่น ทั้งสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
หากอยู่ที่การรู้จักเลือกจุดหมายและรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ที่กิน ที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่แหล่งช้อปปิ้ง ไม่แปลกที่คุณจะรู้จักร้านทำหมวกยี่ห้อดีในมิลาน หรือถ้าไปฟลอเรนซ์แล้วต้องเป็นร้านไหน หรือแม้แต่ร้านเครื่องหนังชั้นดีที่ยังมีกระเป๋าหนังทรงด็อกเตอร์ที่ไม่มีวันตกยุคสมัย
การเดินทางของผู้ชายที่มีรสนิยมวิไลครั้งนี้เราจะตระเวนไปในแคว้นลอมบาร์ดี ก่อนจะโฉบไปเมืองฟลอเรนซ์ที่แคว้นทัสคานี ซึ่งใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมงจากมิลาน เพื่อเสพย์ศิลป์อย่างอิ่มเอมในเมืองที่ได้ชื่อว่า ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ศิลปะ
หากสมมติการเดินทางครั้งนี้นำโดยชายหนุ่มผู้มีรสนิยม พาหญิงสาวที่เป็นคนพิเศษของเขาไปท่องเที่ยวในเมืองที่เธอไม่มีวันปฏิเสธอย่างมิลาน ท่องทะเลสาบโคโม ก่อนจะทำให้เธอประทับใจกับความรอบรู้เรื่องศิลปะของคุณที่ฟลอเรนซ์ รวมทั้งฟังเสียงระฆังย่ำยามเย็นบนยอดของโดมดูโอโม ขณะที่แสงแดดสีทองอาบไปทั่วเมืองที่คลุมด้วยหลังคากระเบื้องดินเผาสีแดงก่ำ นี่คือภาพที่งดงามที่สุดภาพหนึ่งในความเป็นทัสคานี
มิลานเป็นเมืองเอกของแคว้นลอมบาร์ดีหรือลอมบาร์เดียในภาษาอิตาลี เปรียบเสมือนเมืองหลวงทางธุรกิจ ในขณะที่เมืองหลวงจริงๆ ของอิตาลีคือโรม มิลานคือเมืองแฟชั่นและดีไซน์ เมืองแห่งความหรูหราสมัยใหม่ โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์แบบคนอิตาเลียนที่เปี่ยมรสนิยม เราจะเห็นงานออกแบบสมัยใหม่ได้แม้ในโครงสร้างอาคารเก่าแก่ที่มีกฎหมายอนุรักษ์ภายนอกตัวอาคาร แต่ภายในจะตกแต่งอย่างไรก็ได้
ไม่มีอะไรที่จะให้เราใกล้ชิดกับงานดีไซน์ในแบบมิลานได้เท่ากับโรงแรมที่พักที่มีการออกแบบอย่างหรูหราทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Armani Hotel ที่แม้จะเปิดหลังจากโรงแรมอาร์มานีในดูไบแต่โรงแรมแห่งนี้ถือเป็นหัวใจของแบรนด์ เนื่องจากตั้งอยู่ในถิ่นกำเนิดของแบรนด์นั่นเอง ตัวอาคารด้านนอกซึ่งสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1937 ยังคงรูปแบบเดิมไว้ เหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็เป็นโชคชะตา เพราะผังอาคารนี้เป็นรูปตัว A และตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองมิลาน
DESIGN IN EVERY DETAIL
1. Galleria Vittorio Emanuele II สวยงามด้วยหลังคาโครงเหล็กกรุด้วยกระจกอันเป็นเทคโนโลยีที่นำสมัยในศตวรรษที่ 19
2. ห้องสวีทในโรงแรม Mandarin Oriental Milan ที่ตกแต่งเพื่อระลึกถึงงานดีไซน์ของ Piero Fornasetti
3. แม้จะต้องจองคิวล่วงหน้านาน แต่ภาพ The Last Supper ของเลโอนาร์โด ดา วินชี คือภาพที่ควรชมให้ได้สักครั้ง
4.ทะเลสาบโคโม มีภูเขารายล้อมและมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่สวยงามสลับกับวิลล่าอันโอ่อ่าริมทะเลสาบ สีของน้ำในทะเลสาบแปรสีจากเขียวไปจนถึงน้ำเงินเข้มตามแสงแดด
อาคารโรงแรมสูง 8 ชั้น โดยชั้น 7 และ 8 เป็นเสมือนกล่องกระจก ทำให้มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ รวมทั้งวิหารดูโอโม มิลาน ที่อยู่ไม่ไกลชั้น 7 เป็นที่ตั้งของภัตตาคาร ที่แม้จะไม่ได้พักที่นี่ก็น่ามาเป็นแขกของภัตตาคารนี้ รวมทั้ง Bamboo Barที่มีชื่อเสียง และ Armani Café ห้องพักมี 95 ห้อง แบ่งเป็นห้องแบบต่างๆ มีฟิตเนสและสปาที่ทันสมัย ทั้งการดีไซน์และการวางคอนเซ็ปต์จะเน้นหลัก Well Being โดยฟิตเนสเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง (www.giorgioarmani.it)
ใกล้ๆ กันนั้นมีโรงแรมที่เก๋ไม่แพ้กันคือ Mandarin Oriental Milan ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับโลก Antonio Citterio และ Patricia Viel แห่ง Citterio-Viel & Partners โดยปรับเปลี่ยนภายในอาคารเก่าแก่อายุมากกว่าศตวรรษ ให้เป็นโรงแรมหรูที่มีห้องพักที่เป็นไฮไลต์ คือห้องสวีทที่ตกแต่งเพื่อระลึกถึง Piero Fornasetti และห้องสวีทอีกห้องเป็นสไตล์ของ Gio Ponti ใครที่ชื่นชมผลงานของนักออกแบบทั้งสองที่ถือเป็นปรมาจารย์ด้านการออกแบบของอิตาลี ลองจับจองมาพักกันได้ที่นี่ยังมีสปาและมีสระว่ายน้ำใต้ดินที่เป็นสระสงบที่สวยงาม
(www.mandarinoriental.com)
ใครที่ชอบความโก้หรูทันสมัยเปี่ยมด้วยเรื่องราวของ BVLGARI แบรนด์เครื่องประดับชั้นสูง สามารถมาพักที่ BVLGARI Hotel Milano ได้ อยู่ใกล้ๆ สวนสาธารณะเล็กๆ ไม่ไกลจากสองโรงแรมแรกบางส่วนของตัวโรงแรมเป็นคอนแวนต์เก่าที่ปรับโฉมด้านในให้เป็นดีไซน์ที่ทันสมัย โดย Citterio-Viel & Partners เช่นกัน โรงแรมนี้มีสวนสวยเป็นส่วนหนึ่งของ Il Bar ซึ่งเป็นที่นิยมของแฟชั่นนิสต้า
(www.bulgari.grandluxuryhotels.com)
Villa d’Este มีชื่อเสียงทั้งในด้านสถาปัตยกรรมที่งดงาม สวนสวยเลอค่า และอาหารที่เลิศรส
LEGENDARY PLACE
5. สวนของ Villa d’Este ที่ทะเลสาบโคโม มีความสวยงามไม่แพ้วิลล่าชื่อเดียวกันที่อยู่ใกล้โรม
6. พาสต้าที่ทำจากหมึกของหมึกทะเล เสิร์ฟกับซอสทำจากมะเขือเทศและเนื้อหมึก หนึ่งในจานเด่นที่ Villa d’Este
ส่วนสถานที่ที่เหมาะแก่การช้อปปิ้งเพื่อสัมผัสดีไซน์อิตาเลียนแท้ๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมทั้งสามแห่งที่แนะนำ นั่นก็คือ Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิหารดูโอโม มิลานและไม่ไกลจากลา สกาลา โรงมหรสพที่มีชื่อเสียงระดับโลก นี่คือต้นแบบของช้อปปิ้งอาเขตที่มีการจำลองไปตามเมืองใหญ่ๆ ของอิตาลี ตัวอาคารมีผังแบบไม้กางเขน โครงสร้างของหลังคากระจกเป็นโครงเหล็ก ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยภาพเขียนสีปูนเปียก (Fresco) และงานประดับพื้นกระเบื้องด้วยโมเสกที่สวยงาม ภายในมีร้านค้าชั้นนำต่างๆ รวมทั้งร้านหมวก Borsalino ที่มีชื่อเสียงของอิตาลี ใครต้องการหมวกสักหลาดดีไซน์เก๋ๆ หรือหมวกสานสำหรับฤดูร้อน ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีต้องแวะมาที่นี่
แต่ถ้าเป็นถนนที่จะช้อปปิ้งของแบรนด์เนมต่างๆ รวมทั้งร้านรวงหรูๆ ต้องไปที่สามเหลี่ยมแห่งความหรูหรา (Golden Triangle) ซึ่งประกอบด้วย Via Monte Napoleone, Via della Spiga, Via del Gesù และ Via Sant’Andrea โดยจะเริ่มที่ Via Monte Napoleone ไม่ไกลจากดูโอโมและโรงแรมทั้งสามเช่นกัน สำหรับโรงแรมอาร์มานีนั้นเดินข้ามแยกไฟแดงก็ถึงถนนเส้นนี้ ใครที่ชื่นชอบ Gucci ต้องมาร้านใหญ่ที่ถนนเส้นนี้ แม้จะมี Gucci และ Gucci Café ที่ Galleria Vittorio Emanuele II แต่ร้านที่นี่เป็นแฟล็กชิปสโตร์ มีทุกสิ่งให้เลือกพร้อมสรรพ (ไม่มีคาเฟ่ที่นี่) การตกแต่งภายในร้านจะทำให้คุณเข้าใจถึงจิตวิญญาณของความเป็น Gucci ในปัจจุบัน
ใครที่ชอบความพิถีพิถันในแบบอิตาเลียนสไตล์ต้องรู้จัก Massimo Sforza ที่เพิ่งเปิด Domus Prima อันเป็นแฟล็กชิปสโตร์ของแบรนด์นี้บนถนน Via Monte Napoleone เป็นที่รู้กันว่าสุภาพบุรุษอิตาเลียนชื่นชอบแฟชั่น และนิยมวัสดุที่พิเศษสำหรับเครื่องแต่งกาย ซึ่งแบรนด์นี้คือคำตอบของสไตล์หนุ่มอิตาเลียนสุดหรูในปัจจุบัน (www.massimosforza.com)
กลิ่นอายแห่งยุคเรอเนสซองส์ สัมผัสได้จากความสวยงามของสถาปัตยกรรมในฟลอเรนซ์
TIMELESS BEAUTY
7. เมื่อมองลงมาจากหน้าต่างของ Gallerie degli Uffizi ด้านริมแม่น้ำอาร์โน เราจะมองเห็นสะพานเวคคิโอที่ลือชื่อ
8. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เดวิดที่สลักจากหินอ่อนก้อนเดียวโดยมิเคลันเจโลดูสง่างามหล่อเหลาเป็นอมตะเสมอ
มิลานและฟลอเรนซ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีศิลปะและดีไซน์ในหัวใจ
มาเรื่องอาหารรสเลิศกันบ้าง แม้เชฟ Nobuyuki Matsuhisa จะมีร้าน Nobu และร้านอาหารในเครืออีกมากมาย แต่ Nobu Milan คือสิ่งที่ผู้ชื่นชอบอาหารรสเลิศต้องมาชิม และควรสำรองโต๊ะล่วงหน้า (www.noburestaurants.com/milan/experience) แต่ถ้าต้องการลิ้มลองอาหารสไตล์มิลาน ต้องไปที่ Cracco เชฟ Carlo Cracco นำเอาอาหารสไตล์มิลานแท้ๆ มาปรับโฉมให้ดูทันสมัย แต่คงรสชาติที่แท้จริงไว้ (www.ristorantecracco.it/)
ถ้าต้องการดินเนอร์ในบรรยากาศของสวน ห้องอาหาร La Veranda ของโรงแรม Four Seasons Hotel Milan เสิร์ฟอาหารอิตาเลียนและเมดิเตอร์เรเนียนรสเลิศในบรรยากาศที่งดงาม (www.fourseasons.com/) สำหรับประสบการณ์อาหารที่แปลกใหม่และสนุก แต่หรูหรา ต้องไปลองสัมผัสที่ Contraste อาหารเป็นเซ็ตเมนู 9 ชนิด ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยวิธีการนำเสนออาหารนั้น ต้องบอกว่ามีที่นี่ที่เดียวจริงๆ (www.contrastemilano.it/)
หลังมื้ออาหารแล้ว ไม่ควรพลาดชมการแสดงที่ Teatro Alla Scala สถานที่แสดงมหรสพสุดหรูของโลกแม้การเปิดฤดูกาลในแต่ละปีจะเป็นช่วงเดือนธันวาคม แต่การแสดงนั้นมีหมุนเวียนไปตลอดปีที่นี่เคยเป็นสถานที่แสดงโอเปรารอบพรีเมียร์ของคีตกวีที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Giuseppe Verdi การแสดงนั้นมีทั้งโอเปรา บัลเลต์ หรือคอนเสิร์ตมาชมการแสดงในโรงละครที่มีอายุกว่า 200 ปี ย่อมเป็นการจบค่ำคืนอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนใครที่ต้องการไปชมภาพเขียนบันลือโลก The Last Supper ของเลโอนาร์โด ดา วินชี สามารถจองรอบการเข้าชมที่ www.vivaticket.it ซึ่งต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน แต่ถ้าคุณอยู่ในมิลานแล้ว ลองใช้บริการ Concierge ของโรงแรมที่คุณพัก ให้เขาหาบัตรเข้าชมให้ได้ และควรไปชมให้ได้สักครั้งในชีวิต
มามิลานแล้วต้องไปเที่ยวทะเลสาบแม้ทะเลสาบโคโมดูจะมีชื่อเสียงมากที่สุด แต่ทะเลสาบอื่นๆ ก็มีความงดงามเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ Garda และทะเลสาบ Maggiore ที่มีเกาะ Borromean อยู่กลางทะเลสาบ การเดินทางออกจากมิลานมีทั้งไปโดยทางรถหรือจะเช่าเฮลิคอปเตอร์เพื่อบินไปชมวิวทะเลสาบก็ได้ โดยทะเลสาบที่น่าไปเยือนนั้นคือ ทะเลสาบโคโม ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยุคโรมัน และควรไปพักที่ Villa d’Este (www.villadeste.com) ซึ่งเป็นพระราชวังสไตล์เรอเนสซองส์ที่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมสุดหรู เหมาะที่สุดสำหรับการไปพักผ่อนชมวิวทะเลสาบแห่งนี้ หรือไม่ก็แวะรับประทานอาหารกลางวันที่นี่ เมื่อเราไปเที่ยวทะเลสาบโคโมที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดงานแสดงรถคอนเซ็ปต์คาร์ ซึ่งจัดมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และยังคงจัดมาเสมอในเดือนกันยายนของทุกปี
ภัตตาคารของ Villa d’Este มีผนัง 3 ด้านที่กรุด้วยกระจกใสบานใหญ่ เพื่อให้คนที่นั่งอยู่ด้านในไม่ต้องสัมผัสอากาศร้อน แต่สามารถชมวิวสวนที่สวยงามของวิลล่าแห่งนี้ได้ สำหรับแขกที่พักที่นี่ การไปนั่งอาบแดดหรือพักผ่อนที่สระว่ายน้ำที่สร้างเป็นทุ่นลอยน้ำครอบน้ำในทะเลสาบนั้น คือมุมสวยที่ยากจะหาที่ไหนเหมือน และอย่าลืมเช่าเรือเพื่อนั่งชมทิวทัศน์ของทะเลสาบ มีบริการเรือหรูลำเล็กๆ แล่นชมวิวทะเลสาบ สามารถเลือกขึ้นที่ท่าเมือง Bellagio ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่สวยงามสมชื่อได้
ส่วนใครที่ต้องการขับรถยนต์หรูยี่ห้อ Ferrari อย่าง Ferrari 458 Italia ที่กลายเป็นรุ่นหายาก สามารถใช้บริการของ Red Travel (www.red-travel.com) ได้ เขามีคนที่คอยดูแลคุณตลอดเส้นทางให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขับรถรุ่นนี้ ขับนำคุณไปตลอดจากมิลานโดยที่คุณจะไม่หลงทางเป็นช่างภาพส่วนตัวของคุณอีกด้วย ถ้าคุณต้องการภาพที่ขับรถหรูคันนี้ในมุมที่สวยที่สุด พวกเขาจะทราบดีว่าต้องหยุดรอถ่ายภาพคุณที่จุดไหน รวมทั้งการแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ Villa d’Este และขับชมวิวทะเลสาบ แวะ Villa Carlotta ที่อยู่ในความดูแลของ UNESCO ก่อนจะขับกลับมิลานนี่คงเป็นประสบการณ์ที่จะประทับใจคุณไปตลอด แต่ถ้าจะใช้บริการรถเช่าแบบต่างๆ รวมทั้งรถรุ่นวินเทจ จะพร้อมคนขับหรือจะขับเองก็ตาม สามารถใช้บริการของ Eurocar Limousine Services (www.eurocarlimousine.it)
จากมิลาน เรามุ่งมาฟลอเรนซ์ ซึ่งใช้เวลาเดินทาง โดยรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงหรือจะขับรถมาก็ได้ สะดวกสบายมาก แม้จะใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง แต่ทิวทัศน์ข้างทางจะทำให้คุณดื่มด่ำในความงามของแคว้นทัสคานี ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้มาแต่โบราณ เป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ของอิตาลียุคเรอเนสซองส์ ปัจจุบันคือเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ ทั้งวิจิตรศิลป์ งานฝีมือ และปากะศิลป์ (เกี่ยวกับอาหารการกิน)
ถ้าต้องการสัมผัสสไตล์ฟลอเรนทีน การเข้าพักที่ The St. Regis Florence (www.stregisflorence.com) จะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม การตกแต่งที่รื้อฟื้นระเบียบการตกแต่งแบบฟลอเรนทีนขึ้นมาในเงื่อนไขของยุคสมัยปัจจุบัน ทำให้เกิดความหรูหราสวยงาม และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ วิวจากห้องพักที่มองเห็นสะพานเวคคิโอ จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปสู่ยุค The Grand Tour ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของการเดินทางในศตวรรษที่ 18-19 แต่ถ้าต้องการพักในวิลล่าจริงๆ ที่ปรับปรุงเป็นโรงแรม ก็ต้องที่ Villa Cora (www.villacora.it) ที่สวยทั้งตัวสถาปัตยกรรมและสวน หากแต่อยู่นอกเมืองฟลอเรนซ์ไปไม่ไกลนัก มีห้องพักทั้งหมด 45 ห้อง เป็นห้องสวีท 29 ห้องตกแต่งสไตล์ฟลอเรนทีน
แต่ถ้าต้องการพักในเมืองที่สะดวกต่อการเดินชมเมืองตามที่ต่างๆ โดยที่ตัวสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง รวมทั้งสวน ยังเป็นสไตล์ฟลอเรนทีนก็ต้องที่ Four Seasons Hotel Firenze (www.fourseasons.com/florence) ภัตตาคารของที่นี่ก็มีชื่อเสียงเรื่องอาหาร ภายในโรงแรมมีภาพเขียนเก่าแก่ประดับอาคาร รวมทั้งส่วนที่เป็นคอร์ตยาร์ดที่สวยงาม
POWER OF FAITH
9. ภาพเขียนลายพันธุ์พฤกษาที่ผูกลายด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ เป็นลวดลายที่อ่อนช้อยอันเป็นจุดเด่นของสกุลช่างฟลอเรนซ์
10. ภาพ Last Judgment ภายในโดมดูโอโม ฟลอเรนซ์ เป็นฝีมือของ Giorgio Vasari และ Federico Zuccari
การมาเยือนฟลอเรนซ์พลาดไม่ได้กับการไปชมหอศิลป์ Gallerie degli Uffizi (www.uffizi.com) ซึ่งคิวการเข้าชมยาวทุกวัน แต่คุ้มค่า อย่าลืมลองถาม Concierge ของโรงแรมว่า จะมีวิธีใดที่ไม่ต้องรอคิวเข้าชมนาน ในทางเดินที่เชื่อม Uffizi กับ Palazzo Pitti นั้น มีภาพเหมือนบุคคลต่างๆ ติดตามทางเดินที่เป็นทางเดินยาว ถ้ามาเยือน Uffizi ต้องไม่พลาดชมภาพเขียน “กำเนิดวีนัส” และภาพ “ฤดูใบไม้ผลิ” ของ Botticelli และห้อง The Tribune ห้องแปดเหลี่ยมที่ดยุคฟรานเชสโกที่ 1 ให้สร้างเป็นแกลเลอรีส่วนตัว ภายในมีงานศิลปะชิ้นเยี่ยมที่ดยุคสะสม ไม่อนุญาตให้เข้าไปชมในห้อง แต่สามารถยืนชมจากประตู 3 ด้านของห้องนี้ได้
จาก Uffizi ใกล้ๆ กันมี Bargello Museum ที่มีศิลปวัตถุและตัวอาคารก็เป็นสไตล์โกธิกแบบอิตาลี เยื้องๆ กันคือ Loggia dei Lanzi ที่มีประติมากรรมบรอนซ์เพอร์เซอุสชูหัวเมดูซ่า และประติมากรรมอื่นๆ จัดแสดงอยู่แบบกึ่งกลางแจ้ง ใกล้ๆ กันยังมีมิวเซียมของ Gucci ซึ่งตอนนี้ปิดชั่วคราว และมิวเซียมของ Salvatore Ferragamo (www.ferragamo.com/museo/it) ที่คนรักแฟชั่นต้องชอบและใกล้ๆ กันนั้น หากเดินไปตามถนน Via Vacchereccia จะพบกับร้าน The Bridgeซึ่งเป็นร้านเครื่องหนังเก่าแก่ของฟลอเรนซ์ ที่นี่ยังมีกระเป๋าหนังทรงด็อกเตอร์ที่มีส่วนประดับและตัวล็อกต่างๆ ทำจากทองเหลืองจำหน่ายอยู่ เสมือนดีไซน์คลาสสิกของแบรนด์นี้
ร้านอาหารในฟลอเรนซ์มีมากมายที่เป็นร้านระดับดาวมิชลิน อย่างในโรงแรม Four Seasons Hotel Firenze ก็มี Il Palagio ที่ตั้งอยู่ใน Palazzo della Gherardesca มีสวนที่สวยงามของโรงแรมให้ชมได้จากภัตตาคาร ส่วนอาหารนั้นคัดสรรเครื่องปรุงที่ดีที่สุดของแคว้นทัสคานีมาปรุงเป็นอาหาร ที่ไม่เพียงสวยงาม แต่มีรสชาติเลอเลิศอีกด้วย (www.fourseasons.com/florence/dining/restaurants/il_palagio/) ส่วนร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินเช่นกัน และอยู่ในโรงแรม The St. Regis Florence คือ Winter Garden by Caino เน้นการครัวแบบทัสคานีเช่นกัน หากปรุงแต่งหน้าตาอาหารเหมือนการจัดภูมิทัศน์บนจานที่สวยงามแปลกตา อีกทั้งยังมี Winter Garden Bar ที่กลางวันมีบริการมื้อชายามบ่ายด้วย (www.wintergardenbycaino.com) แต่ภัตตาคารที่วิวสวย มองลงมาเห็นวิวเมืองฟลอเรนซ์ คือ La Leggenda dei Frati ตั้งอยู่ใน Museum Complex of Villa Bardini จากสวนผักของร้านอาหารนี้มองลงมาจะเห็นวิวเมืองสวยมาก อาหารที่นำเสนอคืออาหารสไตล์ฟลอเรนทีนและใช้เครื่องปรุงสดใหม่ในแต่ละฤดูกาล (www.laleggendadeifrati.it)
ทั้งมิลานและฟลอเรนซ์ต่างมีจุดเด่นที่แตกต่าง หรืออย่างรอบๆ ทะเลสาบโคโมก็มีทิวทัศน์ที่งดงามโดดเด่น ซึ่งคนที่รู้จักการใช้ชีวิตและมีรสนิยมวิไลจะชื่นชอบ และเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่คนที่ลึกซึ้งกับคำว่า La Dolce Vita หรือชีวิตที่แสนหวานสไตล์อิตาเลียนจะซาบซึ้ง เพราะประมวลเอาสิ่งที่ดีเลิศในทุกด้านเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน