ทำความรู้จักกับแบรนด์เครื่องเขียน นาฬิกา และเครื่องประดับระดับตำนาน Montblanc ผ่านความเชี่ยวชาญที่สะสมมานานกว่าร้อยปี ทำให้สัญลักษณ์เกล็ดหิมะสีขาวดำเป็นเครื่องหมายการันตีถึงคุณภาพขั้นสูงสุด
STORY
TAWAN KONKAEW
PHOTOGRAPHY
COURTESY OF BRANDS
มงต์บลองปฏิวัติวัฒนธรรมการเขียนขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1906 ด้วยการสร้างสรรค์โมเดลปากกาตัวอย่างโดยฝีมือของวิศวกรชาวเบอร์ลิน August Eberstein และนายธนาคารชาวฮัมบูร์ก Alfred Nehemias หลังจากนั้นไม่นาน Wilhelm Dziambor, Christian Lausen และ Claus Johannes Voss ได้เข้ามาควบคุมธุรกิจ และได้เผยโฉมปากการุ่นแรก Rogue et Noir ออกมาใน ค.ศ. 1909 มงต์บลองยังคงแสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างศิลป์สุดประณีตมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านผลิตภัณฑ์ในหมวดต่างๆ ทั้งเครื่องเขียน นาฬิกา ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเครื่องประดับ เพื่อเป็นการสะท้อนภารกิจที่ต่อเนื่องของมงต์บลองที่จะรังสรรค์เพื่อนคู่ใจชั้นดีไปตลอดชีวิต
“Rouge et Noir” เปิดตัวพร้อมกับชื่อแบรนด์ Montblanc
เพื่อสื่อถึงความเป็นเลิศประดุจยอดเขามงต์บลอง
ตำนานแห่งเครื่องเขียน “Rouge et Noir” เปิดตัวพร้อมกับชื่อแบรนด์ Montblanc เพื่อสื่อถึงความเป็นเลิศประดุจยอดเขามงต์บลองในเทือกเขาแอลป์ ส่วนสัญลักษณ์เกล็ดหิมะ 6 แฉกที่ทุกคนคุ้นตานั้น เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นอีก 4 ปี ต่อมาใน ค.ศ. 1924 มงต์บลองได้นำเสนอปากการุ่นที่ขายดีที่สุดอย่าง “Meisterstück 149” ด้วยคุณลักษณะเป็นปากกาหมึกซึมที่ด้ามทำจากเรซิ่นสีดำ หัวปากกาทำด้วยทอง 18K สลักลวดลายและตัวเลข “4810” อันหมายถึงความสูงของยอดเขามงต์บลองจากระดับน้ำทะเล กลายเป็นปากกาชื่อดังที่ทุกคนต่างพูดถึงในขณะนั้น นอกจากความสวยหรูแล้ว มงต์บลองยังพิถีพิถันในเรื่องหัวปากกาที่ต้องทำด้วยมือโดยช่างที่ผ่านการอบรมอย่างน้อย 5 ปี ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปากกาที่บุคคลระดับโลกเลือกใช้ ตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2, เวอร์จิเนีย วูลฟ์ เรื่อยไปจนถึงจอห์น เอฟ เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ล่วงลับ
ต่อมาใน ค.ศ. 1955 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง มงต์บลองได้นำเสนอปากการุ่นใหม่อย่าง “60 Line” และประสบความสำเร็จอย่างมากไม่แพ้รุ่นคลาสสิก พอมาถึงปี ค.ศ. 1990 อาณาจักรของมงต์บลองได้เริ่มสยายปีกออกไปทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การสร้างออฟฟิศใหม่ในฮัมบูร์ก การเปิดบูติคในทวีปต่างๆ ในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ด้วยคุณภาพและการออกแบบที่โดดเด่น จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์หรูนี้จะเป็นที่ต้องการของกลุ่มธุรกิจหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่การเปลี่ยนมือเข้ามาอยู่ภายใต้ Alfred Dunhill Ltd. ใน ค.ศ. 1977 ก่อนจะถูกรวมให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือสินค้าหรูอย่าง Richemont Group การเข้ามาอยู่กับทีมบริหารมืออาชีพนี้เอง ยิ่งทำให้ทั้งการตลาด การโปรโมต และรูปลักษณ์ของสินค้า ตรงกับความต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น
ตามปกติของการเพิ่มยอดขายและผลกำไรต้องมาพร้อมกับการนำเสนอไลน์สินค้าใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหนังต่างๆ อย่างกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ และเครื่องประดับ เรื่อยไปถึงไลน์นาฬิกาที่นำเสนอใน ค.ศ. 1997 ซึ่งมงต์บลองตั้งใจทำอย่างเต็มที่ โดยสร้างสรรค์ผลงานเรือนเวลาที่แหล่งผลิตนาฬิกาชั้นหนึ่งอย่างเมืองวิลเลอเรต์ (Villeret) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น ส่วนปากกามงต์บลองต้องผลิตจากเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี และเครื่องหนังจากฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
แม้ว่ามงต์บลองจะเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มนาฬิกามาได้ไม่นานนัก แต่ทว่าเป็นอีกไลน์ที่เติบโตได้อย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนาฬิกาสามารถจับคู่ขายเป็นเซ็ตกับปากกาได้ เช่น ปากกา Star Walker จับคู่กับนาฬิกา Time Walker นอกจากนี้ยังมีคัฟฟ์ลิงก์รุ่น Urban Walker และกำลังจะมีน้ำหอมที่มาเข้าเซ็ตกันอีกด้วย
ตัวอย่างนาฬิการุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวตอนปลายปีนี้และน่าสนใจมาก คือ Montblanc 1858 Geosphere โดยมงต์บลองได้นำนาฬิกาโครโนกราฟสำหรับทหารอันเก่าแก่ ซึ่งโรงงานมิเนอร์วา (Minerva) ผลิตขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 มาตีความและสร้างสรรค์ใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อมรดกอันยิ่งใหญ่ของโรงงานมิเนอร์วา ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมงต์บลองได้เข้าถือหุ้นเมื่อปี ค.ศ. 2006 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Montblanc 1858 Geosphere มีกลิ่นอายวินเทจในสไตล์แอดเวนเจอร์ที่สะท้อนผ่านดีไซน์ตัวเรือนบรอนซ์แบบพิเศษ พร้อมขนาดที่พอเหมาะด้วยเส้นผ่าศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร หนา 12.8 มิลลิเมตร และกันน้ำได้ลึก 100 เมตร หน้าปัดสีเขียวกากีซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และเพิ่มความมั่นใจด้วยสาย NATO สีเขียวโทนใกล้เคียงกับสีบนหน้าปัดและขอบตัวเรือน สามารถสำรองพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีผลิตมาจำกัดแค่ 1,858 เรือนเท่านั้น
ความใส่ใจในทุกรายละเอียดปลีกย่อยนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานขั้นสูงที่มงต์บลองตั้งใจรังสรรค์เรือนเวลาให้เป็นที่ยอมรับ ไม่แพ้เครื่องเขียนอันเป็นจุดกำเนิดของแบรนด์