เบื้องหลังเครื่องประดับอันทรงคุณค่า และนาฬิกาชั้นยอดระดับ Swiss Made แท้ๆ จากแบรนด์ Chopard
STORY
TAWAN KONKAEW
PHOTOGRAPHY
COURTESY OF BRANDS
ย้อนกลับไปใน ค.ศ. 1860 หลุยส์-ยูลีสส์ โชพาร์ด ช่างฝีมือทำนาฬิกาเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นเมื่ออายุเพียง 24 ปี เขาเกิดในเมืองซงวิลิเยร์ เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างแซงติมิเยร์และลา โชซ์ เดอ ฟงส์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่เมืองนี้เอง เทคนิคเชิงช่างและงานฝีมือในการทำนาฬิกาได้รับการปลูกฝัง จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงหลุยส์-ยูลีสส์ เขามุมานะคัดสรรวัสดุที่แปลกใหม่ รวมถึงกลไกวิธีเดินระบบนาฬิกาด้วยตัวเองเริ่มแรกนั้น Chopard รังสรรค์นาฬิกาพกสำหรับสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ก่อนขยายตลาดสู่นาฬิกาและเครื่องประดับในรูปแบบอื่นๆ
ใน ค.ศ. 1921 ปอล-หลุยส์ โชพาร์ด บุตรชายของหลุยส์-ยูลีสส์ได้ย้ายบริษัทไปยังลา โชซ์ เดอ ฟงส์ และอีกไม่กี่ปีต่อมาก็ย้ายไปที่เมืองเจนีวา ศูนย์กลางของเรือนเวลาชั้นสูง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าถึงคนทั่วไปและกลุ่มลูกค้ามากขึ้น เพราะถิ่นฐานที่ตั้งเดิมของเเบรนด์ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ นั้นไม่สะดวกต่อการค้าขายและขยายกลุ่มลูกค้า เมื่อกิจการดำเนินมาสู่เจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งมีปอล-อังเดร โชพาร์ด เป็นผู้รับผิดชอบ Chopard ก็ประสบปัญหาไม่มีผู้สืบทอด เพราะบุตรชายของปอล-อังเดรไม่สนใจในธุรกิจนี้ ปอล-อังเดรในวัย 70 ปี จึงมองหาผู้ดูแลคนต่อไป จนได้พบกับ คาร์ล ชอยเฟเล ทายาทแห่งครอบครัวช่างทำนาฬิกาและเครื่องประดับเก่าแก่จากเมือง Pforzheim ประเทศเยอรมนี ที่ปอล-อังเดรมองแล้วว่า เขาคนนี้คือคนที่จะทำให้แบรนด์นาฬิกาของบิดาของเขาก้าวต่อไปในอนาคต ขณะที่คาร์ล ชอยเฟเลเองก็มีความฝันที่สืบทอดมาจากปู่และพ่อของเขา ที่อยากจะเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสให้ได้สักวัน 2 คนจาก 2 ประเทศจึงเป็นการพบกันที่ลงตัวจนทำให้เกิดการซื้อขายแบรนด์ในที่สุด และถือว่าเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของ Chopard
แบรนด์ Chopard เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตที่ไม่เหมือนใคร บวกกับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาปรับใช้กับการผลิตนาฬิกาทั้งคาร์ล และ คาริน ผู้เป็นภรรยา ทำให้แบรนด์ Chopard กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยการผสมผสานเทคนิคแบบสวิสและมาตรฐานการทำงานตามแบบฉบับเยอรมันได้อย่างลงตัว จนมาถึงรุ่นลูกของพวกเขา คาร์ล-ฟรีดริช และ คาโรลิน ที่ร่วมกันบริหารธุรกิจกระทั่ง Chopard สามารถขยายชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ให้ก้าวสู่ระดับโลกอย่างแท้จริง
Chopard เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตที่ไม่เหมือนใคร บวกกับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาปรับใช้
ทำความรู้จักกับประวัติของแบรนด์กันไปพอสมควรแล้ว ตอนนี้ขอกล่าวถึงงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ Chopard ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มที่เรือนเวลาคอลเลคชั่น Happy Diamonds ที่ออกแบบให้เพชรบนหน้าปัดสามารถกลิ้งหรือเคลื่อนไหวไปมารอบหน้าปัดได้อย่างอิสระ ถือเป็นผลงาน ประดิษฐกรรมชั้นยอดและดีเอ็นเอของแบรนด์ ส่วนใน ค.ศ. 1980 นาฬิการูปทรงสปอร์ตเรือนแรกของแบรนด์อย่าง St. Moritz ก็เปิดตัวออกมาพร้อมโลหะมีค่าหลายชนิด เป็นที่ถูกใจชายหนุ่มผู้รักและหลงใหลในการกีฬาและการผจญภัย แต่ก็ยังปรารถนาจะคงไว้ซึ่งความหรูหรา ต่อมาใน ค.ศ. 1984 Chopard ได้ข้ามฟากมานำเสนอนาฬิกาหรูที่มีกลไกสลับซับซ้อนอย่างรุ่น Luna D’Oro ที่ผสานปฏิทินบอกเวลากลางวันและกลางคืนเข้าไปไว้ด้วย ช่วงท้ายปี ค.ศ. 1993 เวอร์ชั่นใหม่ของนาฬิกา Happy Diamonds ถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้งเป็นคอลเลคชั่น Happy Sport ด้วยดีไซน์หน้าปัดทรงกลมและสายสตีลที่ทันสมัย และโดดเด่นด้วยเพชรกลิ้งที่เคลื่อนไหวแบบอิสระ ทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์ไปในทันที ไม่เพียงเท่านั้น จากนาฬิกายังแตกยอดออกมาเป็นเครื่องประดับหลากหลายสไตล์ ทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กำไล และแหวน ที่มีเพชรกลิ้งไปมาตามคอนเซ็ปต์ Happy Diamonds อีกด้วย
นอกจากนาฬิกาแล้ว ไลน์เครื่องประดับชั้นสูงที่นำเสนอออกมาใน ค.ศ. 1985 ก็มีประวัติที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากแบบร่างเครื่องประดับส่วนตัวของคาโรลิน สู่คอลเลคชั่นเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบ และใน ค.ศ. 2007 คาโรลินได้นำเสนอเครื่องประดับชั้นสูง Haute Joaillerie Red Carpet Collection ที่สร้างสรรค์ให้ดาราแถวหน้าสวมใส่ในงาน Cannes Film Festival ซึ่งทาง Chopard เองก็เป็นผู้ออกแบบถ้วยรางวัล Palme d’Or Trophy ที่ใช้ในงานนี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1998 และจากการรังสรรค์คอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงให้เหล่าดาราภาพยนตร์สวมใส่ จึงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และส่งผลให้แบรนด์มียอดขายสูงถึง 915 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา มีบูติคและจุดจัดจำหน่ายกว่า 100 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 3,000 คน
ที่สำคัญ Chopard เป็นแบรนด์นาฬิกาและเครื่องประดับไม่กี่แบรนด์ในโลก ที่ยังคงทำงานภายในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างประสบความสำเร็จไม่น้อยหน้าแบรนด์ที่บริหารงานโดยซีอีโอมืออาชีพอื่นๆ เลย