
หลังจากประกาศเปิดตัว “Disney+” แพลตฟอร์มสตรีมมิงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิงอย่าง Walt Disney ไปตั้งแต่ปี 2019 การรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เพราะในวันนี้ผู้ใช้งานในประเทศไทยสามารถรับชมอย่างเป็นทางการได้แล้ว ภายใต้ชื่อ Disney+ Hotstar
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรที่คนทั่วโลกจะตื่นเต้นกับ Disney+ ที่แม้ว่าจะกระโดดลงสนามสตรีมมิงทีหลังแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Netflix, Viu, หรือ Apple TV+ อยู่นานโข เพราะอย่างไรชื่อของ Disney นั้นย่อมการันตีได้ถึงความบันเทิงที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ครองใจผู้คนมาตลอดเกือบร้อยปีที่ผ่านมา แถมยังไม่หยุดสร้างฐานแฟนใหม่ๆ จากการที่บริษัทได้ทำการขยายจักรวาลของตัวเองในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ด้วยการเข้าซื้อ Marvel Studios, Lucasfilm รวมถึง 21st Century Fox ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นดีลแห่งประวัติศาสตร์ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อดูจากรายชื่อของสตูดิโอในเครือเหล่านี้ ก็แทบจะกวาดหนังหรือซีรีส์สายหลักไปครึ่งโลกแล้วก็ว่าได้ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะมีให้เราเพียงแค่นั้น ในขณะที่บางคนอาจจะคิดว่ามีแต่เจ้าหญิงหรือฮีโรให้ดูหรือเปล่า ก็ต้องบอกเลยตรงนี้ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน และสำหรับใครที่กำลังคิดว่า Disney+ Hotstar จะตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองหรือไม่ ลองมาดูลิสต์ที่ Power จัดมาให้ตรงนี้ก็ได้ รับรองว่าจะเพิ่มสีสันให้วันอยู่บ้านของคุณ ราวกับมีนกน้อยร้องเพลงอยู่นอกหน้าต่างอย่างไรอย่างนั้น
Disney Classics
Tale as Old as Time

Snow White and the Seven Dwarfs (1937)

Pinocchio (1940)

Alice in Wonderland (1951)

Peter Pan (1953)
เริ่มกันที่ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันในความทรงจำของใครหลายคน ที่คราวนี้มาในแบบคมชัดกว่าเดิมทั้งภาพและเสียง ให้ย้อนเวลารำลึกความหลังวัยเด็กกันเสียหน่อย ไม่ว่าจะเป็น Snow White and the Seven Dwarfs (1937), Pinocchio (1940), Dumbo (1941), Alice in Wonderland (1951), Peter Pan (1953) หรือ Sleeping Beauty (1959)

The Little Mermaid (1989)

Aladdin (1992)
ลองขยับขึ้นมาใหม่อีกนิดไปกับการ์ตูนจากยุค 90s ที่ได้ชื่อว่าเป็นยุคเกิดใหม่ของ Disney อย่าง The Little Mermaid (1989), Beauty and the Beast (1991), Aladdin (1992), Pocahontas (1995) และ Mulan (1998) ซึ่งนอกจากลิสต์ที่ว่านี้ก็ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่อาจทำให้คุณเผลอร้องเพลงออกมาแบบไม่รู้ตัว
Pixar
You’ve Got a Friend in Me

จากแอนิเมชันสตูดิโอเล็กๆ ที่ถูกต่อยอดโดยสตีฟ จอบส์ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์ ด้วยผลงานแอนิเมชันคุณภาพอย่างต่อเนื่องและการไม่หยุดพัฒนาในทุกๆ ฝีก้าว ปัจจุบัน Pixar ได้ชื่อว่าเป็นสตูดิโอที่ “ไม่เคยสร้างหนังไม่ดี” ที่ผู้คนทั่วโลกต่างหลงรัก
นับตั้งแต่การปรากฏตัวของเหล่าของเล่นใน Toy Story เมื่อปี 1995 โฉมหน้าของวงการแอนิเมชันก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย ไม่ใช่แค่การยกระดับในเรื่องของเทคนิคภาพ แต่ Pixar ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของงานที่ทั้งสวยงามและมีเนื้อหาที่เข้มข้น จนมิอาจกล่าวได้ว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กอีกต่อไป กระทั่งหลังจากนั้นไม่กี่ปีเวทีออสการ์จึงได้เพิ่มรางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมขึ้นมาอีกสาขาเลยทีเดียว
สัมผัสเรื่องราวชวนอบอุ่นหัวใจไปกับ Toy Story ทั้ง 4 ภาค, A Bug’s Life (1998), Finding Nemo (2003), Ratatouille (2007), WALL-E (2008), UP (2009), Inside Out (2015), Coco (2017), Soul (2020), Luca (2021) และอีกมากมาย รวมไปถึงภาพยนตร์สั้นและซีรีส์ที่เป็นภาคแยกอย่าง Bao, Dory’s Reef Cam หรือ Monsters at Work กันได้อย่างเต็มอิ่ม แต่เตรียมรับมือน้ำตาที่จะมาพร้อมกับรอยยิ้มกันด้วยนะ
Marvel
Avengers Assemble!
นาทีนี้คงไม่มีภาพยนตร์พลังเหนือมนุษย์ใดจะมาแรงและครองใจผู้คนไปมากกว่าเหล่าซูเปอร์ฮีโรจาก Marvel Cinematic Universe (MCU) ได้อีกแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่ Tony Stark สวมเกราะเหล็กทะยานขึ้นปราบเหล่าร้ายเมื่อปี 2008 ชื่อของ Marvel ก็ถูกจับตามองอีกครั้งหลังจากเกือบล้มละลายในทศวรรษก่อนหน้า หลังจากนั้นก็ตามต่อมาด้วยภาพยนตร์ของฮีโรอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Hulk, Thor และ Captain America จนกระทั่งทั้งหมดมารวมตัวกันใน The Avengers ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทุบทุกสถิติของวงการอย่างถล่มทลาย เป็นอันปิดฉากเฟส 1 ของ MCU ไปอย่างงดงาม
แน่นอนว่าเฟส 2 มีฮีโรใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาไม่ขาดสาย อย่างแก๊ง Guardians of the Galaxy (2014) และ Ant-Man (2015) เป็นต้น ตามติดๆ มาด้วยเฟส 3 นำโดย Doctor Strange (2016), Spider-Man: Homecoming (2017), Black Panther (2018), Captain Marvel (2019) และ Avengers: Endgame (2019) โดยเรื่องหลังนี้ยังครองสถิติทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของโลกภาพยนตร์อีกด้วย ก่อนจะทิ้งท้ายเฟส 3 นี้ ด้วย Spider-Man: Far From Home (2019) ให้แฟนๆ รอการมาของ MCU เฟส 4 อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งระหว่างรอ Disney+ Hotstar ก็คั่นเวลาด้วยซีรีส์สุดมันอย่าง WandaVision, The Falcon and the Winter Soldier และ Loki ให้พอหายคิดถึงกันไปก่อนในปีนี้
Star Wars
A long time ago in a galaxy far, far away….
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องราวของยานอวกาศ อัศวินเจได และการตามหาสมดุลแห่งพลัง เหล่านี้เป็นส่วนผสมชั้นดีของภาพยนตร์ที่ครองหัวใจของผู้ชมมาตั้งแต่รุ่นพ่อ แม้ว่ามหากาพย์สกายวอล์คเกอร์จะเปิดตัวครั้งแรกด้วย Episode IV – A New Hope (1977) ซึ่งสร้างความงุนงงไม่น้อยว่า แล้วภาค 1 – 3 ไปไหน ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า ก็ตามที แต่ด้วยความสนุกปลุกเร้าจินตนาการ ส่วนผสมที่ลงตัวของไซ-ไฟกับปรัชญาตะวันออก จึงทำให้หลายคนขนานนามให้ภาพยนตร์ชุดนี้เป็น “อุปรากรอวกาศ” แห่งยุคที่เผลอตกหลุมรักราวกับถูกเจไดสะกดจิต
ความสำเร็จของไตรภาคดั้งเดิมอย่าง Episode IV – A New Hope (1977), Episode V – The Empire Strikes Back (1980) และ Episode VI – Return of the Jedi (1983) ทำให้มีการสร้างภาพยนตร์ชุด Star Wars อีกครั้ง แม้จะทิ้งช่วงนานถึง 16 ปี นั่นคือ Episode I – The Phantom Menace (1999), Episode II – Attack of the Clones (2002) และ Episode III – Revenge of the Sith (2005) อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อกิจการของ Disney ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดมาก่อน นั่นคือ Episode VII – The Force Awakens (2015), Episode VIII – The Last Jedi (2017) และ Episode IX – The Rise of Skywalker (2019)
โดยนอกจากทั้ง 9 ภาคอันเป็นตำนานแล้ว ก็ยังมีซีรีส์ แอนิเมชัน และภาคแยกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Rogue One (2016), Solo (2018) รวมไปถึง The Mandalorian (2019) ให้ได้ติดตามใน Disney+ Hotstar กันอย่างจุใจ เรียกได้ว่าครบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
มาถึงตรงนี้จากที่ไม่แน่ใจว่า Disney+ Hotstar มีอะไรน่าสนใจให้ดูบ้าง กลายเป็นจะหาเวลาดูครบได้อย่างไรเสียมากกว่า ที่แน่ๆ คือการอยู่กับบ้านจะต้องสนุกมากขึ้นอีกหลายเท่าเลยทีเดียว ซึ่งไม่เพียงแต่ 4 หมวดหลักๆ ที่แนะนำไปเท่านั้น แต่ Disney+ Hotstar ก็ยังมีสารคดีจาก National Geographic ที่ครอบคลุมเนื้อหาหลากหลายให้เลือกชมตามความสนใจ รวมไปถึงภาพยนตร์ดังของเอเชีย ทั้งไทย จีน เกาหลีใต้ รวมทั้งหมดกว่า 700 เรื่อง และซีรีส์อีกกว่า 14,000 ตอนอีกด้วย
แน่นอนว่าในอนาคตยังมีความบันเทิงอีกมากมายที่จะเข้ามาเสริมทัพอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ของ Disney ที่อยากจะส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่ผู้คนทั่วโลกอย่างที่พวกเขาทำมาโดยตลอด โดยไม่ลืมที่จะหลอมรวมความฝันของคนทุกเพศทุกวัยเอาไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะพวกเขาเชื่อสุดหัวใจว่า “ผู้ใหญ่ ก็คือเด็กที่โตขึ้นเท่านั้นเอง”