วันแม่เวียนมาถึงอีกครั้ง สำหรับคนที่กำลังคิดว่าจะทำอะไรให้กับผู้หญิงคนพิเศษในชีวิตคนนี้ดี ก็ต้องบอกเลยว่าของขวัญที่แม่ส่วนใหญ่อยากจะได้จากลูกมากที่สุดไม่ว่าลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหนก็คือการได้ใช้เวลาร่วมกัน และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ ในวันหยุดนี้ก็คือชวนแม่ดูหนังดีๆ สักเรื่อง
นอกจากการใช้เวลายามบ่ายด้วยกันกับท่านสัก 2 ชั่วโมงนี้จะช่วยคลายเหงาให้กับวันอยู่บ้านได้แล้ว หนังหลายเรื่องยังมาพร้อมกับข้อคิดดีๆ เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ พร้อมกระชับความสัมพันธ์ของแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย Power จึงไม่รอช้ามาแนะนำหนังที่น่าสนใจให้เหมาะกับคุณแม่สายต่างๆ ลองเลือกดูว่าวันหยุดนี้จะเปิดหนังเรื่องไหนดีที่ท่านน่าจะชอบ เตรียมพ็อปคอร์นและเครื่องดื่มให้พร้อม ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ อาจจะมี “วันดูหนังประจำสัปดาห์” ให้ต้องกาลงปฏิทินเลยก็เป็นได้
คุณแม่สายอาร์ต
สนุกสนานไปกับโลกแห่งเสียงเพลง ศิลปะ และแฟชั่น
The Devil Wears Prada (2006)
เรียกว่าขึ้นหิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ The Devil Wears Prada หนังที่นำเสนอเรื่องราวของวงการแฟชั่นในมุมมองที่หลายคนไม่เคยรู้หรือสนใจมาก่อน แน่นอนว่าการที่นักแสดงนำอย่าง Anne Hathaway สวมบทบาทที่เข้มข้นขึ้น แถมประกบซูเปอร์สตาร์อย่าง Meryl Streep ที่มาในมาดบรรณาธิการบริหาร นิตยสารแฟชั่นอันดับหนึ่งของโลก (ว่ากันว่าความ “นางพญา” นี้ ได้รับต้นแบบมาจาก Anna Wintour บรรณาธิการบริหาร ของ Vogue อเมริกานั่นเอง) รวมไปถึงบรรดาแบรนด์เนมต่างๆ ที่กระหน่ำมาให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ยังคงปลุกความเป็นนางมารในตัวเราได้เสมอ ถ้านางมารได้สวมปราด้าน่ะนะ
Mamma Mia! (2008)
เมื่อลูกสาวกำลังจะแต่งงาน แม่ของเธอจึงบอกให้เขียนจดหมายเชิญผู้ชาย 3 คนไปร่วมงาน เพราะ 1 ในนั้นมีโอกาสจะเป็นพ่อที่เธอไม่รู้ว่ามีตัวตนมาก่อน นี่คือพลอตของ Mamma Mia หนังที่สร้างจากละครเพลงชื่อเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะขนนักแสดงดังๆ มากันล้นจอแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ยังใช้เพลงของวง ABBA ประกอบในสไตล์ Jukebox Musical อีกด้วย ดีไม่ดีระหว่างดูคุณแม่อาจจะฮัมเพลง Dancing Queen หรือเพลงอื่นๆ จนเราต้องประหลาดใจ
Midnight in Paris (2011)
เรื่องราวของหนุ่มนักเขียนอารมณ์ศิลปินที่พาว่าที่ภรรยาและว่าที่พ่อตาแม่ยายไปเที่ยวปารีส ดินแดนแห่งความฝันมหานครแห่งศิลปะของโลก กระทั่งเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึง เขากลับพบว่านี่ไม่ใช่ปารีสที่เขาเห็นในตอนกลางวัน เพราะมันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าจะเป็นปารีสเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ดูแล้วรับประกันได้เลยว่า บรรยากาศชวนหลงใหลของฝรั่งเศสจากหนังเรื่องนี้ จะทำให้คุณสามารถปักหมุดจุดหมายปลายทางครั้งต่อไปของทริปครอบครัวได้ไม่ยาก
La La Land (2016)
แม้ว่าเรื่องของหนุ่มสาวที่เข้าเมืองใหญ่ไปตามความฝันจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่นัก แต่ La La Land กลับนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยรูปแบบมิวสิคัลที่ทำให้เราต้องร้องว้าวตลอดทั้งเรื่อง ด้านงานภาพก็ไม่ธรรมดาจนบรรดานักวิจารณ์พูดได้แค่ว่า “ไร้ที่ติ” อีกทั้งคอสตูมของนักแสดง เสียงเพลง รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ในหนัง คือส่วนผสมที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็รักหนังเรื่องนี้
Yesterday (2019)
ว่ากันว่าทุกนาทีบนโลกจะมีเสียงเพลงของ The Beatles เล่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อชายหนุ่มนักดนตรีโนเนมฟื้นขึ้นมาหลังจากประสบอุบัติเหตุแล้วพบว่า โลกนี้ไม่มี The Beatles และที่ที่เดียวที่วงสี่เต่าทองมีตัวตนอยู่ก็คือในความทรงจำของเขา Yesterday ผลงานการกำกับของ Danny Boyle ขนเพลงของวงดนตรีที่โด่งดังที่สุดในโลกมาเล่าใหม่ได้อย่างแสบสัน ถ้าโลกนี้ไม่มี The Beatles จริงๆ แม่ของเราจะว่าอย่างไรกันนะ
คุณแม่สายฟีลกู้ด
สัมผัสเรื่องราวชวนอบอุ่นหัวใจ
Always: Sunset on Third Street (2005)
ใครรักญี่ปุ่นพลาดไม่ได้เลยกับเรื่องนี้ เรื่องราวของผู้คนบนถนนสายที่ 3 ของกรุงโตเกียวในปี 1958 ช่วงเวลาแห่งการก่อร่างสร้างตัวหลังสงคราม โดยมีหนึ่งในสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นสมัยใหม่อย่าง “หอคอยโตเกียว” ที่ในขณะนั้นเพิ่งเริ่มสร้าง เป็นดั่งตัวแทนของชาวญี่ปุ่นผู้เปี่ยมไปด้วยความหวังทุกคน ความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ดำเนินไปอย่างเนิบช้า ไม่หวือหวา ไม่โศกเศร้า แต่ทว่าประทับลงในใจของผู้ชมได้อย่างง่ายดาย
The Secret Life of Walter Mitty (2013)
หนุ่มออฟฟิศวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาวต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อนิตยสาร LIFE ที่เขาทำหน้าที่เป็นฝ่ายล้างฟิล์มอยู่กำลังจะปิดตัวลง แน่นอนว่าแผนกของเขาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่เขาพบว่าฟิล์มที่ช่างภาพส่งมาให้เป็นหน้าปกฉบับสุดท้ายกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาจึงตัดสินใจก้าวออกจากออฟฟิศไปสู่โลกกว้างตามรอยช่างภาพสุดเท่คนนั้นเพื่อหาเบาะแสให้ได้ นี่คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ห้ามพลาด ที่เราอยากให้คุณชวนคนที่คุณรักมานั่งดูด้วยกัน
About Time (2013)
หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเวลา อาจจะฟังดูกำปั้นทุบดินไปหน่อย แต่เราบอกได้เท่านี้จริงๆ เมื่อชายหนุ่มขี้แพ้คนหนึ่งพบว่า เขามีพลังวิเศษสามารถย้อนไปในช่วงเวลาที่เขาเคยผ่านมาแล้วได้ เขาจึงหวังจะใช้มันแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองความรักของหนุ่มสาว แต่ขึ้นชื่อว่า “ชีวิต” ย่อมมีอะไรให้ทำความเข้าใจมากกว่านั้น About Time เขียนบทและกำกับโดย Richard Curtis ผู้ฝากฝีมือไว้กับหนังอย่าง Notting Hill, Love Actually และ Bridget Jones’s Diary ใครเคยประทับใจกับหนังเหล่านี้ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
Hector and the Search for Happiness (2014)
“ความสุขคืออะไร” หนึ่งในคำถามโลกแตกของมนุษยชาติ ถึงจะหาคำตอบไม่ง่าย แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องซีเรียสกับมันมาก จริงไหม? เว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นจิตแพทย์ เพราะน่าจะเป็นอาชีพที่ต้องให้คำแนะนำกับผู้คนที่ไม่ค่อยมีความสุขให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้นั่นเอง ซึ่ง Hector พระเอกของเรื่องรู้สึกว่าเขาทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีพอ จึงตัดสินใจออกตามหาว่าความสุขคืออะไรกันแน่ ระหว่างดูแนะนำให้ลองถามแม่เล่นๆ ว่า เราเป็นความสุขของแม่หรือเปล่า น่าจะเรียกรอยยิ้มได้ไม่มากก็น้อยเลยล่ะ
Little Women (2019)
หนังที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสสิกที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1868 เรื่องราวของสี่ดรุณีที่อาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆ แสนอบอุ่นกับแม่ จนกระทั่งมีชายหนุ่มทายาทของคฤหาสน์ในละแวกใกล้ๆ เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของพวกเธอพี่น้อง Little Women นำเสนอทั้งมุมมองของผู้เป็นแม่ ลูก พี่สาว และน้องสาวได้อย่างน่าสนใจ เพราะอย่างไรเราทุกคนย่อมเติบโต และดำเนินชีวิตไปในทางของตัวเอง ซึ่งประเด็นที่ว่านี้แม่ของเราอาจจะรับรู้ได้ดีจนเราไม่ทันสังเกตเลยทีเดียว หากได้นั่งดูกับแม่แล้วล่ะก็ เราอาจจะเผลอคิดว่าชีวิตวัยเด็กช่างผ่านไปเร็วนัก ในขณะที่แม่อาจจะเห็นเราเป็นเด็กน้อยไปตลอดกาลอยู่วันยังค่ำ
คุณแม่สายดราม่า
ซาบซึ้งถึงความสัมพันธ์และความหมายของชีวิต
Forrest Gump (1994)
หนึ่งในหนังที่ดีที่สุดตลอดกาลที่ดูได้ไม่รู้เบื่อ เพราะ “ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะเจอกับอะไร จนกว่าจะเปิดมัน” Forrest Gump เป็นหนังที่ไม่ว่าจะดูเพื่อความบันเทิงหรือสนุกไปกับการล้อเลียนประวัติศาสตร์ก็ตาม มันก็เต็มไปด้วยแง่คิดๆ ดีอยู่เสมอ การเดินทางของชีวิตนั้นอาจจะยาวนานหรือสั้นเพียงชั่วพริบตานั้นขึ้นอยู่กับมุมมองเป็นสำคัญ หากวันใดที่คุณอยากได้แรงบันดาลใจดีๆ เราอยากให้ Forrest Gump เป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับคุณ
The Terminal (2004)
จะเป็นอย่างไรเมื่อเดินทางไปยังประเทศหนึ่งที่คุณแทบจะพูดภาษาพวกเขาไม่ได้ แต่กลับมีเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้คุณต้องติดอยู่ในเทอร์มินัลของสนามบินอย่างไม่รู้กำหนด The Terminal สร้างจากเรื่องจริงของชายคนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดีเสมอ แต่กลับต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายจนเราเองยังอดเห็นใจไม่ได้ หนังดำเนินไปอย่างสนุกจนไม่กล้าลุกไปไหน มันทำให้เรากลับมามองตัวเองว่าหากเราเจอปัญหา (ซึ่งต้องเจอแน่ๆ) เราจะทำอย่างไร และบางครั้งเราอาจจะต้องย้อนถามตัวเองว่า ตอนนี้จุดมุ่งหมายของเราคืออะไรกันแน่
Lady Bird (2017)
“เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย แถมแม่ก็ดูเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลยเสียด้วย” เชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีโมเมนต์นี้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าช่วงวัยรุ่นเราต่างค้นหาตัวตนของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ที่สำคัญ “ผู้ใหญ่” ทำไมถึงชอบขัดเราไปเสียทุกเรื่องก็ไม่รู้ ไม่ใช่ตอนนี้หรอกหรือที่เราจะหาคำตอบว่าเราต้องการอะไร ไม่ใช่ตอนนี้หรอกหรือที่เราจะโบยบินออกจากรังให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ เราสามารถเป็นอย่างที่เราอยากเป็นได้มั้ย คำตอบคือได้แน่นอน และพ่อแม่ของเราก็รู้ข้อนี้ดีเลยล่ะ
Coco (2017)
โลกหลังความตายเป็นเรื่องที่พูดยากเสมอ แต่ขึ้นชื่อว่า Pixar แล้ว อะไรก็เป็นไปได้ เพราะในขณะที่การ์ตูนส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของเรื่องเบาสมอง แต่แอนิเมชันอย่าง Coco กลับนำเสนอเรื่องราวของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับให้ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมได้น่าประทับใจยิ่งนัก บางครั้งเราอาจลืมไปแล้วว่าคนที่ยังอยู่นั้นมีค่าเท่าไร ส่วนคนที่ไม่อยู่แล้วก็มิได้ห่างหายไปไหนเลย
Café Funiculi Funicula (2018)
ปิดท้ายกันด้วยเรื่องราวแฟนตาซีที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมสัญชาติญี่ปุ่น ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “เพียงช่วงเวลากาแฟยังอุ่น” ความมหัศจรรย์ของร้านกาแฟที่ว่ากันว่าสามารถพาคุณเดินทางข้ามเวลาได้ แต่ด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ยุ่งยากจนน่าปวดหัว ทำให้ไม่มีใครอยากจะมาท้าทายความพิเศษนี้กันสักเท่าไร เว้นเสียแต่ว่าคุณมีเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ต้องกลับไปให้ได้นั่นแหละ กลับไปทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากได้พูดหรือแสดงออกบางอย่างที่เคยเสียใจที่ไม่ได้ทำไปตอนที่ยังมีโอกาส
LIFESTYLE
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.imdb.com/
https://asianwiki.com/