RUSSIAN ESCAPE
ไปรัสเซียไม่ต้องทำวีซ่า!!!
STORY
NISARAT SITASUWAN
PHOTOGRAPHY
NISARAT SITASUWAN
SAROJ PORNPRAPA
ใช่แล้ว นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของการไปเที่ยวรัสเซีย นึกอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักของการไปรัสเซีย เพราะรัสเซียนั้นยิ่งใหญ่ขนาดที่ต้องเรียกว่าอลังการ มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย ด้วยเหตุนี้เราจึงควรไปเยือนรัสเซียกันสักครั้ง สำหรับการไปรัสเซียครั้งแรกควรเริ่มที่เมืองหลักอย่างมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเสียก่อน เพราะแค่ 2 เมืองนี้ก็เที่ยวกันได้ 7-10 วันยังแทบไม่ทั่วเลยด้วยซ้ำ
คนไทยเรารู้จักรัสเซียกันมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสรัสเซียและฉายพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ซึ่งเมื่อพระบรมฉายาลักษณ์นั้นเผยแพร่ไปทั่วโลก ก็ทำให้ชาติมหาอำนาจอื่นๆ ยำเกรงสยามขึ้นมาทันที
และเราก็รู้จักรัสเซียจากเรื่องราวการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟ จากจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่กลายเป็นสหภาพโซเวียต ผู้นำแห่งโลกคอมมิวนิสต์ ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกคู่กับสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยการทำสงครามเย็นระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสอง จากนั้นในปี ค.ศ. 1991 สหภาพโซเวียตก็ล่มสลาย สาธารณรัฐต่างๆ แยกตัวเป็นอิสระ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียจึงแยกตัวออกมาเป็นสหพันธรัฐรัสเซียหรือประเทศรัสเซียในปัจจุบัน
แล้วควรจะไปเที่ยวรัสเซียฤดูไหน จริงอยู่ที่หน้าหนาวก็หนาวไม่น้อย ด้วยที่ตั้งของประเทศ แต่นักเดินทางยุคนี้มีเครื่องแต่งตัวพร้อม ไม่กลัวความหนาวกันแล้ว ส่วนหน้าร้อนที่ยุโรปประเทศอื่นๆ ร้อนแตะ 40 องศาเซลเซียส แต่รัสเซีย (มอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ก็ไม่ร้อนมากขนาดนั้น ในขณะที่ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงจัดได้ว่าอากาศดีทีเดียว
MOSCOW
มอสโกเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงต้นศตวรรษที่ 18 จึงมีการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และมอสโกได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหลังการปฏิวัติบอลเชวิกในปี ค.ศ. 1918
อย่างไรก็ดี มอสโกดำรงความสำคัญในฐานะศูนย์กลางความเจริญในทุกๆ ด้านมาตลอด แม้จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงระยะหนึ่งก็ตาม ดังจะเห็นได้จากอาคารขนาดใหญ่ มหาวิหารขนาดใหญ่ ฯลฯ ทุกอย่างที่มอสโกจะอยู่ในสเกลใหญ่ทั้งหมด สมกับความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตที่ครองโลกอยู่ครึ่งหนึ่งในยุคสงครามเย็น
ความยิ่งใหญ่ของมอสโกจะเห็นได้อย่างชัดเจนที่จัตุรัสแดง (Red Square) ลานกว้างใหญ่ขนาด 70 x 695 เมตร ที่สหภาพโซเวียตใช้แสดงแสนยานุภาพต่อโลกด้วยการสวนสนามทหารแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ชื่อจัตุรัสแดงมักเข้าใจผิดกันไปว่า คำว่า “แดง” ในชื่อจัตุรัส มาจากสีของคอมมิวนิสต์ หรือสีของอิฐในบริเวณนั้นที่เป็นสีแดง แต่แท้จริงแล้วชื่อจัตุรัสแดงมาจากภาษารัสเซียคำว่า krásnyj ซึ่งในภาษารัสเซียดั้งเดิมมีความหมายว่า สวยงาม ในขณะที่ภาษารัสเซียสมัยใหม่แปลว่า สีแดง
รอบๆ จัตุรัสแดงมีอาคารสถานที่สำคัญหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปเยือน ตั้งแต่พระราชวังเครมลิน (Grand Kremlin Palace) ศูนย์กลางการปกครอง, สุสานเลนิน (Lenin’s Mausoleum), พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รัฐ (State Historical Museum), มหาวิหารเซนต์เบซิลส์ (St. Basil’s Cathedral) ซึ่งมีโดมทรงหัวหอมหลากสีที่ไม่ว่าใครก็ต้องไปถ่ายรูปคู่และเช็กอิน ไม่อย่างนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงมอสโก หรือแม้แต่ห้างกุม (GUM) ห้างสรรพสินค้าสุดหรูที่มีแบรนด์ดังระดับโลกแทบทุกแบรนด์ ก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน
ห่างจากจัตุรัสแดงไปไม่ไกล คือมหาวิหารโดมทอง (Cathedral of Christ the Saviour) ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่โดมสีทองอร่ามทั้ง 5 โดม เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะและแสดงกตัญญุตาแด่พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงช่วยปกป้องรัสเซียให้มีชัยในสงครามนโปเลียน ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 40 ปี เคยถูกทุบทำลายในสมัยสตาลิน (ค.ศ.1931) แต่ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินให้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1991 พร้อมการกลับมาของการปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเป็นทางการของเหล่าคริสต์ศาสนิกชนรัสเซีย
สำหรับใครที่ชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ มอสโกมีพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งซึ่งไม่ควรพลาด คือพิพิธภัณฑ์พุชกิน (Pushkin Museum) ที่นอกจากจะมีผลงานศิลปะของแท้จากทั่วโลก ตั้งแต่ศิลปวัตถุยุคโบราณจนถึงภาพวาดของศิลปินคนดังของยุโรปแล้ว ยังมีงานจำลองศิลปะชิ้นดังๆ มาให้ศึกษากันด้วยเช่น เดวิดและปีเอตะของมีเกลันเจโล ส่วนอีกแห่งหนึ่งที่ “ต้องไป” เช่นกัน คือพิพิธภัณฑ์อวกาศ (Museum of Cosmonautics) ที่แสดงความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในด้านการสำรวจอวกาศตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1960 เมื่อรัสเซียส่งสุนัข “ไลก้า” ขึ้นสู่อวกาศ ตามด้วย “ยูรี กาการิน” มนุษย์คนแรกที่ขึ้นไปในอวกาศแล้วกลับลงมาได้สำเร็จ
เมื่อไปถึงมอสโกแล้ว แม้จะไปกับทัวร์ซึ่งมีรถให้บริการ ก็ยังควรต้องไปใช้รถไฟใต้ดินสักครั้งเพื่อชมสถานีรถไฟใต้ดินที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง สถานี “เด็ดๆ” มีอยู่ 20 สถานีด้วยกันและอีกกิจกรรมที่ควรทำ คือการนั่งเรือล่องแม่น้ำมอสควา ซึ่งจะได้เห็นมอสโกในอีกมุมมองหนึ่งและได้ชมอนุสาวรีย์พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และหมู่ตึกสตาลิน อภิมหาอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของโซเวียตยุครุ่งเรือง
กิจกรรมสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวมักจะไม่ยอมพลาดเวลาไปเที่ยว คือการช้อปปิ้ง ซึ่งที่มอสโกมีห้างใหญ่อย่าง GUM ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว และตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ยังมีของที่ระลึกแบบรัสเซียจำหน่ายโดยเฉพาะตุ๊กตามาโตรชก้าหรือที่เรียกกันว่าตุ๊กตาแม่ลูกดก และของเลียนแบบจากยุคโซเวียต
SAINT PETERSBURG
ด้วยเหตุที่เคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซียในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 จนถึงปี ค.ศ. 1918 อันเป็นยุคที่จักรวรรดิรัสเซียรุ่งเรืองภายใต้ราชวงศ์โรมานอฟและมีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุโรป เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงงดงามด้วยปราสาทราชวังและมหาวิหาร พรั่งพร้อมด้วยศิลปะสูงค่าและการตกแต่งภายนอกภายในอาคารด้วยทองคำสุกปลั่ง
สถานที่แรกในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งจะต้องไปเยือน คือพระราชวังฤดูหนาวกลางเมือง อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ (Hermitage Museum) พิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลกที่มีงานศิลปะชั้นเยี่ยมตั้งแสดงอยู่มากมาย ไม่แพ้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่ปารีส (มีงานของดาวินชีด้วย) คนรักงานศิลปะสามารถเดินชมพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจได้ทั้งวัน หรืออาจจะหลายวันด้วยซ้ำ และไม่ควรพลาดการเข้าชมห้องมหาสมบัติรัสเซียที่มีเครื่องทองของมีค่า มงกุฎ เครื่องประดับรวมทั้งไข่ฟาแบร์เช ฯลฯ
ในตัวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีศาสนสถานที่สำคัญและควรไปเยือนอย่างยิ่ง ได้แก่ โบสถ์แห่งหยดเลือด (Church of the Savior on Spilled Blood) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระราชบิดา–พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ที่บริเวณนี้ ในปี ค.ศ. 1881 ทั้งภายนอกและภายในตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงด้วยศิลปะแบบรัสเซียดั้งเดิม
ศาสนสถานแห่งที่ 2 ที่ไม่ควรพลาด คือมหาวิหารเซนต์ไอแซค (St. Isaac’s Cathedral) ที่มียอดโดมแบบเรอเนสซองส์ปิดทองอร่าม ภายในงดงามอลังการอย่างยิ่ง และด้านหน้าวิหารยังมีพระบรมรูปพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 ทรงม้าตั้งอยู่ด้วย
ศาสนสถานแห่งที่ 3 คือวิหารที่สำคัญที่สุดกับประวัติศาสตร์ยุคจักรวรรดิรัสเซีย มหาวิหารปีเตอร์และพอล (Peter and Paul Cathedral) ในป้อมปีเตอร์และพอลเป็นที่ฝังพระศพของราชวงศ์โรมานอฟ ตั้งแต่พระเจ้าปีเตอร์มหาราช พระนางเจ้าแคทเธอรีนมหาราชินี จนกระทั่งถึงพระศพของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวของพระองค์ ซึ่งเพิ่งจะได้เข้ามาร่วมสถิตอยู่ในสถานที่พักพิงสุดท้ายแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1998 หลังจากถูกปลงพระชนม์ในปี ค.ศ. 1918
การท่องเที่ยวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะไม่สมบูรณ์ หากไม่ได้ไปเยือนปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชบริเวณชานเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระราชวังแวร์ซายของรัสเซีย มีเอกลักษณ์อยู่ที่สวนน้ำพุและรูปปั้นประดับน้ำพุสีทองที่จะเปิดน้ำให้ชมในช่วงฤดูร้อน แม้จะมีขนาดย่อมกว่าพระราชวังแวร์ซาย แต่ภายในก็ประดับประดาด้วยลวดลายทอง เฟอร์นิเจอร์ทอง และแขวนแชนเดอเลียร์คริสตัลที่สะท้อนกับกระจกจนแวววาวไปทั้งวังไม่แพ้กัน
พระราชวังอีกแห่งหนึ่งที่ต้องไม่พลาดเช่นกัน คือพระราชวังฤดูร้อนของแคทเธอรีนมหาราชินี (Catherine Palace) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองไปราว 30 กิโลเมตร พระราชวังแห่งนี้เพียงเห็นแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นวังของ “ผู้หญิง” ด้วยสีฟ้าขาวและการตกแต่งลวดลายอันอ่อนช้อยภายนอก ยิ่งภายในยิ่งสวยหวาน ปิดทองแทบทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งยังมีห้องที่ผนังกรุด้วยอำพันทั้งห้องอีกด้วย แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของพระราชวังจะถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่จนกลับมางดงามดังเดิม
จริงๆ แล้วเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กยังมีสถานที่ให้ชมอีกมาก เช่นเดียวกับมอสโก และแน่นอนว่าเมืองอื่นๆ ของประเทศรัสเซียทีกว้างใหญ่ก็ยังมีที่น่าสนใจอีกไม่น้อยให้เที่ยวชม แต่ในเมื่อ “ไปรัสเซียไม่ต้องทำวีซ่า” ดังนั้นหากเที่ยวครั้งแรกยังไม่ครบ ก็สามารถกลับไปเที่ยวอีกเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ
TRAVEL TIPS
• การบินไทยมีเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ กับมอสโก
• ผู้ถือพาสปอร์ตไทยสามารถเข้ารัสเซียได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าและอยู่ได้ 30 วัน (พาสปอร์ตต้องมีอายุมากกว่า 6 เดือน)
• รัสเซียใช้หน่วยเงินรูเบิล และ 1 รูเบิลมีค่าราว 0.45 บาท