ด้วยปัญหามลพิษทางอากาศที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งสถานการณ์ของโรคระบาดก็ยังไม่คลี่คลาย จึงทำให้คนส่วนใหญ่หันกลับมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำวันอย่างระมัดระวังแบบ New Normal รวมไปถึงเรื่องของการออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรง
เมื่อนึกถึงการออกกำลังกายในช่วงนี้ อยากให้ลองมองเรื่องของการบริหารอวัยวะภายในอย่าง “ปอด” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่การออกกำลังกายกลางแจ้งหรือเข้ายิมก็อาจจะยังทำได้ไม่สะดวกนัก ด้วยการเดินทางและโอกาสในการพบปะผู้คน อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะได้รับรวมถึงแพร่กระจายเชื้อได้
ด้วยความห่วงใย Power จึงได้ไปหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการออกกำลังกาย เพื่อช่วยเสริมสร้างให้ปอดของคุณแข็งแรงขึ้น พร้อมช่วยลดระดับความเครียด และที่สำคัญคือคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ ด้วยการฝึกโยคะจาก 5 ท่านี้ ที่นอกจากจะช่วยเรื่องการทำงานของปอดแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าอก พร้อมช่วยเรื่องการหายใจเพิ่มปริมาณออกซิเจนเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณได้อีกด้วย
1. SUKHASANA (CROSS-LEGGED SITTING POSE)
นั่งในท่าขัดสมาธิปกติ วางมือซ้ายไว้บนหัวเข่าขวา และวางมือขวาไว้ด้านหลัง หายใจเข้าพร้อมยืดอกของคุณขึ้น ขณะที่โน้มตัวไปทางด้านหน้าให้หายใจออกพร้อมกับพยายามนำหน้าผากขวาไปแตะที่บริเวณเข่าขวา หายใจเข้าค่อยๆ กลับสู่จุดเริ่มต้นและสลับทำอีกข้างหนึ่ง
ประโยชน์ที่จะได้รับ:
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังปอด และขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากกล้ามเนื้อปอด อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ และเมื่อฝึกฝนเป็นประจำจะทำให้เรามีสมาธิ ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อีกด้วย
2. BHUJANGASANA (COBRA POSE)
การฝึกท่า “งู” นี้ทำได้ง่าย เพียงคุณนอนราบไปบนพื้น ยันมือทั้งสองข้างไว้บริเวณหน้าอก และกดฝ่ามือลงเพื่อช่วยดันตัวขึ้น พร้อมยืดกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง โดยการเหยียดแขนออกให้สุดและกดสะบักเข้าหาหลัง เงยหน้ามองเพดาน หาจุดโฟกัส ค้างไว้ 15 – 30 วินาที พร้อมหายใจออกเมื่อคุณกลับสู่ท่าเริ่มต้น
ประโยชน์ที่จะได้รับ:
นอกจากจะได้ฝึกลมหายใจเพื่อบำบัดปอดแล้ว ยังช่วยยืดคลายความตึงและอาการปวดสะโพก เสริมสร้างแนวกระดูกสันหลังให้แข็งแรง และบรรเทาอาการหอบหืด
3. MATSYA ASANA (FISH POSE)
การฝึกท่า “ปลา” เริ่มจากการนอนหงาย ขาทั้งสองข้างชิดกัน วางมือโดยให้ข้อศอกตั้งฉากข้างลำตัว เงยหน้าและยกหน้าอกขึ้น จากนั้นค่อยๆ วางกระหม่อมลงกับพื้นในขณะที่หลังโค้ง พยายามรักษาสมดุลให้คงที่ อาจจะใช้ข้อศอกในการช่วยพยุงตัวไว้ หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ อยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที
ประโยชน์ที่จะได้รับ:
การฝึกท่านี้จะเป็นการบริหารปอดโดยตรง หน้าอกจะขยาย ช่วยในเรื่องของการหายใจให้คล่องและรู้สึกสบายขึ้น พร้อมช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนเลือดให้กระจายไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น และช่วยลดอาการตึงคอ ไหล่ และหลัง
4. PADMA SARVANGSANA (LOTUS SHOULDER STAND)
การฝึกท่า “ยืนด้วยหัวไหล่” เริ่มด้วยการนอนราบบนพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างชิดอกและวางมือไว้ข้างลำตัว สปริงตัวยกสะโพกขึ้นโดยใช้มือทั้งสองข้างช่วยพยุงไว้บริเวณหลัง ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น ในขณะที่หายใจเข้าให้คุณพับขาไขว้กันเพื่อให้ข้อเท้าซ้ายไปอยู่ที่ต้นขาขวา และข้อเท้าขวาไปอยู่ที่ต้นขาซ้าย คล้ายท่านั่งขัดสมาธิ ค้างท่านี้ไว้สักครู่ แล้วหายใจออกพร้อมค่อยๆ ลดสะโพกลงจนกลับสู่ท่าเริ่มต้น
ประโยชน์ที่จะได้รับ:
ช่วยให้อากาศผ่านไปยังปอดได้ง่ายขึ้น การบริหารส่วนบนของร่างกายจะเสมือนเป็นการนวดอวัยวะภายใน ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสมดุลของร่างกายและระบบประสาท
5. ARDHA MATSYENDRASANA (SITTING HALF SPINAL TWIST)
การฝึกท่า “บิดตัวพับขา” เริ่มจากนั่งตัวตรงเหยียดขาไปด้านหน้า งอขาขวาพร้อมสอดไปใต้ขาซ้าย โดยให้ส้นเท้าขวาอยู่ติดกับสะโพกซ้าย ยกขาซ้ายและพาดให้อยู่เหนือเข่าขวาพร้อมตั้งตรง บิดเอว ไหล่ และคอแล้วมองข้ามไหล่ซ้ายไป พร้อมวางมือขวาไว้ข้างเท้าซ้าย และมือซ้ายวางไว้ด้านหลัง กำหนดลมหายใจเข้า – ออก ค้างไว้ 30 วินาที – 1 นาที และสลับทำอีกข้างในลักษณะเดียวกัน
ประโยชน์ที่จะได้รับ:
การบิดลำตัวส่วนบนของร่างกายทำให้เกิดการหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อปอด และช่วยการไหลเวียนของออกซิเจนให้ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและการตึงของกระดูกสันหลัง
สำหรับโยคะทั้ง 5 ท่านี้ หากได้ลองฝึกเป็นประจำก็จะช่วยให้กระบวนการหายใจของเราดีขึ้น เป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อปอดให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจต่างๆ ได้อีกด้วย สำหรับใครที่อาจยังไม่เคยฝึกทำโยคะมาก่อน ร่างกายอาจยังแข็งเกร็งอยู่บ้าง ขอให้หมั่นยืดเส้นยืดสายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายมีความอ่อนตัวมากขึ้น จะช่วยลดอาการบาดเจ็บได้
Tips:
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกโยคะก็คือ ช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในแต่ละวัน เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องของระบบการทำงานในร่างกายแล้ว ยังช่วยในเรื่องของจิตใจให้มีความกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสอีกด้วย
LIFESTYLE
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.netmeds.com/