เมื่อพูดถึงเดือนกันยายน เชื่อว่าคอเพลงสากลจะต้องนึกถึงเพลงที่มีชื่อหรือเนื้อหาเกี่ยวกับเดือนนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งเหตุผลที่ “September” ถูกนำไปใช้ในเพลงอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะเป็นคำที่คล้องจองได้ไม่ยากแล้ว ก็คือเรื่องของความหมาย เนื่องจากเดือนกันยายนคือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อันได้แก่การเปลี่ยนผ่านจาก “ฤดูร้อน” ไปสู่ “ฤดูใบไม้ร่วง” ของซีกโลกเหนือนั่นเอง
อุณหภูมิที่ค่อยๆ เย็นลง ใบไม้สีเขียวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลที่กำลังร่วงโรย ทำให้ศิลปินมากมายตีความกันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะความสวยงามที่มาพร้อมความรู้สึกอ้างว้างเดียวดายนั่นเอง วันนี้ Power ก็มีเพลงเดือนกันยายนพร้อมเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ มาฝากให้เพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์ พร้อมให้คุณได้อินกับช่วงเวลาของฤดูใบไม้ร่วงได้มากกว่าเดิม
SEPTEMBER
Earth, Wind & Fire
เพลงดังจากวงโซลฟังก์ระดับตำนานอย่าง Earth, Wind & Fire ที่ใครได้ยินเป็นต้องขยับแข้งขากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพลงเปิดมาด้วยจังหวะกรู๊ฟชวนโยก บรรดาเครื่องเป่าที่สร้างสีสันอย่างจัดจ้าน และเมื่อประโยค “Do you remember The 21st night of September?” ดังขึ้น เป็นอันรู้กันว่าความสนุกได้เริ่มต้นแล้ว
ท่อนที่ติดหูที่สุดคงหนีไม่พ้นท่อนคอรัสของเพลง “Ba-dee-ya, say, do you remember. Ba-dee-ya, dancing in September.” คำไม่มีความหมายที่ Maurice White นักร้องนำฮัมเพื่อความสนุกสนานจนกระทั่งวันบันทึกเสียง เขาก็ยังตัดสินใจคงมันไว้เช่นนั้น แต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เพราะมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเพลงมาจนทุกวันนี้ รวมถึงคำถามที่ว่า “ทำไมต้องเป็นวันที่ 21 กันยายนด้วย?” แม้ว่า Maurice จะบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกมันก็แค่เพราะดี” แต่แฟนเพลงน้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อ
THE SEPTEMBER OF MY YEARS
Frank Sinatra
ศิลปินเจ้าของเสียงนุ่มลึกทรงเสน่ห์อันเป็นตำนาน เพลงของ Frank Sinatra เรียกได้ว่าอมตะด้วยเดินทางผ่านกาลเวลาและโด่งดังมาทุกยุคทุกสมัย The September of My Years เพลงที่มาจากอัลบั้มชื่อเดียวกันนี้ในปี 1965 ในขณะที่เขามีอายุ 50 ปีพอดี Frank Sinatra หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตโดยเฉพาะความรัก ซึ่งนั่นได้กลายมาเป็นคอนเซปต์หลักของอัลบั้มชุดนี้
“One day you turn around and it’s summer. Next day you turn around and it’s fall.” บางทีการจะบอกว่า เวลานั้นเดินเร็วแค่ไหน ก็ต้องอาศัยผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ถ่ายทอด ในวันที่หนุ่มสาวยังคงคิดว่ามีเวลาเหลือเฟือ หารู้ไม่ว่าทั้งๆ ที่กำลังสนุกสนานกับแดดจ้าของฤดูร้อนอยู่ดีๆ รู้ตัวอีกทีก็ฤดูใบไม้ร่วงก็มาเยือนเสียแล้ว และหากเปรียบชีวิตของคนๆ หนึ่งยาวนานหนึ่งปี การเดินทางมาถึงเดือนกันยายนแล้วจึงเป็นอะไรที่น่าตกใจไม่น้อย
WAKE ME UP WHEN SEPTEMBER ENDS
Green Day
หนึ่งในเพลงกันยายนที่หลายคนจะนึกถึง และหนึ่งในเพลงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของ Green Day วงอเมริกันพังก์ร็อกแห่งยุค 90s Wake Me Up When September Ends เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม American Idiot (2004) ที่ถูกนำไปเป็นเพลงอุทิศให้กับผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา รวมถึงเหตุการณ์ 11 กันยาฯ อีกด้วย อันที่จริงเพลงนี้ถูกเขียนไว้นานแล้ว แต่ Billie Joe Armstrong ผู้แต่งและนักร้องนำของวง “ยังไม่พร้อม”
กันยายนเคยเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของ Billie Joe Armstrong เมื่อพ่อของเขาจากไปในเดือนกันยาฯ ปี 1982 ความเศร้าครั้งนี้ทำให้เด็กอายุ 10 ขวบคนหนึ่งขังตัวเองไว้ในห้อง แล้วบอกให้แม่ปลุกเขาอีกทีเมื่อเดือนนี้สิ้นสุดลง แม้ความรู้สึกเจ็บปวดจะรุนแรงแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วการก้าวไปข้างหน้าอาจจะต้องอาศัยเวลาและความเข้าใจว่า ฤดูร้อนไม่ได้คงอยู่ตลอดไปฉันใด ฤดูใบไม้ร่วงก็ต้องผ่านไปฉันนั้น “Summer has come and passed. The innocent can never last. Wake me up when September ends.”
ON THE WAY HOME
John Mayer
“Now it’s September, the engine’s starting. You’re empty-handed and heavy-hearted.” เพลงปิดท้ายสตูดิโออัลบั้มที่ 6 ของศิลปินและนักดนตรีฝีมือจัดจ้าน John Mayer ที่มาพร้อมกลิ่นอายคันทรี่บลูส์อย่างที่เขาถนัด เนื้อเพลงเล่าถึงเมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง เหมือนเป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาของความสุขกำลังจะหมดไป เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ผู้ใหญ้ใช้วันพักร้อนหมดแล้ว ทุกๆ คนหวนคืนสู่โลกแห่งความจริง
John Mayer มักจะเขียนเพลงที่บอกเราว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ความรัก ความสุข ไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล ชีวิตนั้นอาจจะสั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ยืนยาวที่สุดในชีวิตของคนๆ หนึ่งแล้ว และมันย่อมมีทางที่ดีกว่าเสมอที่จะไม่มัวจมอยู่กับความทุกข์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
LEAVES THAT ARE GREEN
Simon and Garfunkel
ซิงเกิลหน้าบีที่มาพร้อมกับ Homeward Bound หนึ่งในเพลงฮิตแรกๆ จากอัลบั้ม Sounds of Silence ของคู่หูอเมริกันโฟล์กแห่งยุค 60s Leaves That Are Green เป็นเพลงบัลลาดเมโลดี้สวยงามที่เล่าเรื่องราวของการเติบโตได้อย่างมีชีวิตชีวา กระทั่งหลายคนยกให้เป็นงานเขียนชั้นยอดอีกชิ้นของ Paul Simon เลยทีเดียว
ฤดูกาลถูกนำมาใช้เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลง จากใบไม้สีเขียวขจีกลายเป็นสีน้ำตาล เหี่ยวเฉา และร่วงโรย Paul Simon ยังบรรยายอีกว่า เวลานั้นเหมือนกับสายน้ำ การโยนก้อนหินลงไปไม่สามารถหยุดเวลาได้ รวมไปถึงความรัก และเรื่องอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดมันมีแค่ Hello กับ Goodbye เท่านั้นเอง “I held her close, but she faded in the night like a poem I meant to write. And the leaves that are green turn to brown.”