หากเราลองนึกถึงการเป็นนักแสดงในแง่มุมที่ว่า “การสวมบทบาทเป็นคนอื่น” แล้วล่ะก็ นั่นจึงทำให้มันเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่พอสมควรสำหรับการเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเองออกมา ยิ่งโดยเฉพาะหากคนๆ นั้นเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วทั้งโลกตลอดเวลา แม้ในวันที่จากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม และเรากำลังพูดถึง Diana เจ้าหญิงแห่งเวลส์
ชีวประวัติของเจ้าหญิง Diana นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นที่สนใจมากเสียจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์อยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าการเข้ามาเป็นสมาชิกราชวงศ์อังกฤษในฐานะพระชายาของเจ้าชายชาร์ลส์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ อันนำไปสู่ฐานันดรศักดิ์และพระกรณียกิจมากมายที่ตามมา ส่งผลให้เจ้าหญิง Diana กลายเป็นที่จับตามองไม่น้อยไปกว่าพระสวามี รวมไปถึงอิริยาบถและเสน่ห์อันตรึงใจแทบจะในทุกครั้งที่ปรากฏตัวของเจ้าหญิง ยังพลอยสั่นสะเทือนโลกของแฟชั่นไปพร้อมกันอย่างปฏิเสธมิได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองจากโลกภายนอก ในขณะที่ชีวิตอีกฟากฝั่งหนึ่งในฐานะภรรยา แม่ หรือแม้กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป และเกือบทุกคนอาจจะไม่เคยเข้าใจเลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วประเด็นดังกล่าวก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Spencer (2021) ซึ่งการประกาศการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของเจ้าหญิง Diana ในครั้งนี้ ยังสร้างความฮือฮาอีกต่อหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่จะมารับบทคือ Kristen Stewart นักแสดงสาวที่ทำใครหลายคนจินตนาการไม่ออกว่า นางเอกที่มีภาพลักษณ์สุดเปรี้ยวคนนี้จะเป็นเจ้าหญิง Diana ได้ จนกระทั่งเมื่อภาพแรกของเธอจากภาพยนตร์ถูกปล่อยออกมา มันก็ได้สั่นสะเทือนอินเทอร์เน็ตนับตั้งแต่วินาทีนั้น
ด้านผู้กำกับ Pablo Larraín ที่เคยฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้กับ Jackie (2016) ภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของ Jacqueline Kennedy อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ในทำนองว่า “Kristen เป็นคนมีความสามารถ เธอทั้งลึกลับ เปราะบาง และแข็งแกร่งได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ” รวมไปถึงการที่ Spencer ได้คนเขียนบทมือฉมังอย่าง Steven Knight จากซีรีส์ชื่อดังอย่าง Peaky Blinders มาร่วมทีม ยิ่งทำให้ผู้คนต่างเฝ้ารอที่จะได้ชมชีวิตอีกแง่มุมหนึ่งของเจ้าหญิงแห่งเวลส์แทบจะไม่ไหว
แน่นอนว่า “แฟชั่น” ก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมคาดหวังจะได้เห็นในภาพยนตร์ เพราะอย่างที่รู้กันว่าเจ้าหญิง Diana นั้นเป็นดั่งไอคอนแห่งวงการแฟชั่น จนเหล่าดีไซเนอร์และผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมความงามต่างยกให้เป็น “เทรนด์เซตเตอร์” คนสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ ด้วยแต่ละชุดที่ทรงสวมใส่นั้น ไม่เพียงมุ่งเน้นแต่ในเรื่องความงาม แต่ยังผ่านการคิดคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย ความคล่องตัว รวมไปถึง “ความหมาย” ที่จะแสดงออกและส่งผลไปสู่ความรู้สึกของคนรอบข้างอีกด้วย
ความน่าสนใจของ Spencer นอกเหนือไปจากเรื่องงานภาพที่ทำเอากลายเป็นกระแสโด่งดังอย่างที่กล่าวไป ก็คือสิ่งที่ Kristen Stewart ผู้รับบท “เจ้าหญิงแห่งประชาชน” จะถ่ายทอดออกมาให้เราได้ชม ทว่าในครั้งนี้เรื่องราวอาจไม่ใช่ Diana ในฐานะผู้นำแฟชั่น ผู้อุปถัมภ์ช่วยเหลือผู้คน หรือเจ้าหญิงผู้ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องนึกถึงหัวใจของคนอื่นๆ มาเป็นอันดับแรก เพราะ Pablo Larraín ผู้กำกับพยายามอธิบายว่า เขา ทีมงาน และนักแสดง ตั้งใจที่จะนำเสนอเกี่ยวกับความเป็นตัวตน และช่วงเวลาสำคัญของการตัดสินใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เลือกจะหันหลังให้กับการเป็นราชินี ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะกลับไปเป็นใครบางคนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ ที่มีชื่อว่า Diana Spencer
อย่างไรก็ตาม ด้วยไม่อาจล่วงรู้ถึงจิตใจของใครได้อย่างถ่องแท้ เราจึงยกภาระหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ให้กับนักแสดง ส่วนเราในฐานะผู้ชมคงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากชื่นชมในความตั้งใจและความพยายามในการตีความหัวใจของเจ้าหญิงผู้ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนอีกครั้ง