A MOTHER’S LOVE
“แม่” คือคำที่มีความหมาย แม้จะเป็นคำสั้นๆ แต่ก็สามารถทำให้รู้สึกได้ทุกครั้งว่าแม่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตัวลูก
เพราะแม่เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด มอบความรัก คอยทะนุถนอมเลี้ยงดู ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยปรารถนา
จะให้ลูกมีความสุขสมบูรณ์ในชีวิต ความรักของแม่จึงเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไข และเป็นความรักที่ทำให้มนุษยชาติดำรงอยู่ได้
เนื่องในโอกาสวันแม่ 12 สิงหาคม นิตยสาร Power ขอพาทุกท่านไปสัมผัสเรื่องราวน่าประทับใจของผู้หญิง 4 คนที่อุทิศตนเอง
ให้กับการดูแลลูกๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นแม่นั่นเอง
รวงทอง เตมีรักษ์
“สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุด คือความสุขของลูก”
กว่า 13 ปีในวงการบันเทิงของแต้ว–ณฐพร เตมีรักษ์ นับตั้งแต่เริ่มเป็นนางแบบโฆษณาจนก้าวสู่ตำแหน่งนางเอกแถวหน้า ทุกช่วงเวลาในชีวิตของเธอมีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นดั่งลมใต้ปีกช่วยหนุนนำให้แต้วบินได้สูงจนกลายเป็นขวัญใจมหาชนเช่นทุกวันนี้
“แม่นิด–รวงทอง เตมีรักษ์” คือคนสำคัญคนนั้น ในฐานะแม่ หลายคนอาจจะชื่นชมถึงการเลี้ยงดูลูกๆ ได้ดีจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมในทุกด้าน ทั้งลูกสาวคนโต เต๋า-ณฐวดี ทันตแพทย์หญิงคนเก่งที่แต่งงานมีครอบครัวที่น่ารักไปแล้ว และแต้ว ลูกสาวคนเล็ก ก็กำลังไปได้ดีในแวดวงบันเทิง ทว่าสำหรับแม่นิดแล้ว สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุด ไม่ใช่ความสำเร็จใดๆ แต่เป็นความสุขของลูกๆ ทุกคนมากกว่า
ย้อนไปเมื่อครั้งลูกสาวทั้งสองยังเป็นเด็ก แม่นิดเล่าว่าสองสาวเป็นเด็กซนที่มีความแสบอยู่พอตัว โดยเฉพาะพี่เต๋านั้นเป็นเหมือนหัวหน้าแก๊งพาน้องๆ ที่ประกอบไปด้วยน้องสาวแท้ๆ อย่างแต้ว และลูกพี่ลูกน้องวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคน สร้างวีรกรรมให้คุณแม่ได้ปวดหัวอยู่บ่อยๆ “เป็นแก๊งสี่สาวที่สารพัดจะครีเอตการเล่นให้พ่อแม่หัวใจจะวาย โดยเฉพาะพี่เต๋าจะสรรหาอะไรที่พิสดารมาให้น้องๆ เล่นอยู่ตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณประถมต้น อยู่ดีๆ เขาก็ตื่นมาตอนดึก ตีหนึ่ง ตีสอง แล้วไปรื้อเอาของในตู้เย็นออกมาเล่นทำกับข้าวขายของกัน คนหนึ่งดูต้นทาง อีกสามคนก็จัดการกับของที่ขนออกมา ทำแบบนี้วันเว้นวัน พอตื่นเช้ามา เราก็เห็นว่าของเละเทะไปหมด เลยบอกเขาว่าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย ทั้งเสียของ ทั้งทำให้เขาไม่ได้พักผ่อนด้วย เอาไว้มาเล่นตอนกลางวันดีกว่าไหม อยากทำอะไรเดี๋ยวแม่ช่วยดูให้ ซึ่งพวกเขาก็ดื้อทำอยู่พักหนึ่งกว่าจะหยุดได้” แม่นิดเล่าถึงวีรกรรมของแก๊งลูกสาวที่ยังคงจำได้ดี ก่อนจะบอกถึงวิธีกำราบความซนที่ได้ผลที่สุด นั่นก็คือการงดทริปครอบครัวในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นกฎเหล็กที่ทำให้เด็กๆ ต่างก็ปฏิบัติตามกติกาของที่บ้านอย่างเคร่งครัด
แม้จะแสบและซน แต่เต๋าและแต้วก็เป็นเด็กที่มีเหตุผลและมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม่นิดเล่าว่าทุกครั้งเมื่อเกิดปัญหา แต้วมักจะแก้ได้ด้วยตัวเองเสมอ คุณแม่จึงค่อนข้างวางใจในตัวลูกสาว จะมีก็แต่ความขี้อาย ที่ทำให้ต้องเป็นห่วงเป็นใยอยู่บ้าง
“ตอนเด็กแต้วไม่มีแววว่าจะมาเป็นศิลปินหรือนักแสดงเลย เป็นเด็กขี้อายมากๆ ไม่กล้าแสดงออก เวลามีกิจกรรมอะไร เขาจะไปแอบอยู่ข้างหลังเพื่อน แต่ก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนทำกิจกรรมบ่อยๆ อย่างวันครูก็ได้รับเลือกให้ถือพาน วันกีฬาสีก็ทำหน้าที่ถือป้ายบ้าง ดรัมเมเยอร์บ้าง ซึ่งพอให้ทำ เขาก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยอยากทำ แม่เลยอยากหาคอร์สปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ ให้เขาได้เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะแสดงออกได้ทุกอย่างในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็เก็บไว้ อาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอก แต่ยังไม่ทันได้พาไปก็พอดีว่าเขาได้เข้ามาทำงานตรงนี้ก่อน” นั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของแม่นิดและแต้ว ซึ่งเกิดจากความรักและอยากให้ลูกสาวเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จากเดิมที่มองวงการบันเทิงในแง่ลบมาตลอด แม่นิดก็เริ่มเปลี่ยนใจยอมให้แต้วชิมลางเข้ามาทำงานในวงการนี้ เพราะอยากเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกสาวคนเล็ก
“ปกติที่บ้านจะไม่ดูละคร เราเลยไม่ค่อยรู้จักวงการบันเทิง ไม่รู้จักดารา และยังรู้สึกว่าวงการนี้จะทำให้คนติดอยู่กับโลกมายาจนจมไม่ลง ดังนั้นเวลามีคนเอานามบัตรมาให้ ชวนไปถ่ายรูปที่สตูดิโอ เราก็จะเฉยๆ ไม่อะไรด้วย จนกระทั่งแต้วเรียนหนังสือขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีคนจากแกรมมี่ให้นามบัตรมา เรามองว่าเป็นองค์กรใหญ่ มีความน่าเชื่อถือ อีกอย่างแต้วจะได้ลองทำงานและลดความขี้อายลง เลยไปถ่ายรูปทิ้งไว้ ไม่นานเขาก็ติดต่อมาให้ไปถ่ายงานปฏิทินที่กระบี่ ตอนแรกจะไม่รับ เพราะช่วงเวลาที่ต้องเดินทางตรงกับงานกีฬาสีที่น้องแต้วต้องถือป้ายหรือเป็นดรัมเมเยอร์ แต่ทางทีมงานก็จัดสรรเวลาให้ได้ ปรากฏว่าพอผลงานออกมา เป็นภาพเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันกระจายเต็มไปหมด จนมองไม่เห็นหน้าแต้วเลย (หัวเราะ) พอมาผลงานชิ้นที่สองยิ่งขำกว่า เป็นโฆษณาชิ้นหนึ่ง แต้วก็แต่งหน้าเลือกชุดเรียบร้อยแล้วถือถุงช้อปปิ้งเยอะแยะไปหมด พอภาพออกมาเห็นแต้วตัวเล็กเท่าไม้ขีด ที่เด่นคือถุงช้อปปิ้งซึ่งคร็อปมาใหญ่มาก เราก็คิดว่าอย่างนั้นจะแต่งหน้าทำไม เอาใครมาหิ้วถุงก็ได้ไหม (หัวเราะ) แต่ก็ต้องยอมรับว่าพอได้มาทำงาน แต้วก็เริ่มกล้าแสดงออกมากขึ้น เพราะจริงๆ แล้วการที่แม่ให้ลูกเข้ามาทำงานตรงนี้ไม่ได้อยากให้เขามาเป็นนักแสดงหรืออะไร แค่ต้องการให้เขาได้แสดงออกและลดความขี้อายลงเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าช่วยได้มาก โดยเฉพาะพอได้มาเล่นละครเรื่องแรก เรื่องน่ารัก”
ด้วยความเป็นแม่-ลูก เราไม่มีทางปล่อยวางได้หรอก อย่างน้อยๆ ก็จะห่วงใยว่าเขาจะมีความสุขไหม
เรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม่ไม่ได้มองเลย แต่มองว่าเขาจะมีความสุขหรือเปล่ามากกว่า
ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วแม่นิดเผยว่าตอนแรกไม่อยากให้ลูกรับงานละครเลย เพราะช่วงนั้นแต้วยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับแรก เกรงว่าหากรับงานละครจะกระทบกับการเรียนได้ กระทั่งทีมผู้จัดละครเรื่องน่ารัก ได้ให้เหตุผลในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งทำให้คุณแม่ตัดสินใจลองดูสักตั้ง
“ช่วงนั้นเขาถ่ายโฆษณามาหลายตัวจนได้เข้าไปทำงานกับช่อง 7 เป็นผู้ประกาศคั่นรายการ พอเลิกเรียน ทำการบ้านเสร็จ แล้วก็ไปอัดเทป ทำอยู่พักใหญ่จนทางช่องบอกให้เล่นละคร เราก็ตอบไปว่าคงไม่สามารถเล่นได้ เพราะเวลาทับซ้อนกับเวลาเรียน เลยไม่ได้เซ็นสัญญา จากนั้นก็มาเป็นผู้ประกาศคั่นรายการให้กับช่อง 3 อีก จนแต้วเรียนหนังสือขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทางช่องก็บอกว่ามีบทละครเรื่องน่ารักอยากให้ลองเล่นดู ตอนแรกเราก็ปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลเรื่องการเรียนเหมือนเดิม แต่ทางทีมงานบอกว่า เด็กทุกคนที่มาเล่นเรื่องนี้เป็นเด็กนักเรียนเหมือนกันหมด ซึ่งเท่าที่เขาดูมา พอเด็กๆ เริ่มทำงานจะมีความรับผิดชอบและการเรียนก็ดีขึ้นด้วย แม่เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสักเรื่องแล้วกัน เพราะถ้าเป็นไปตามที่เขาบอก ก็จะเป็นผลดีกับลูกเรา” แม่นิดเล่าถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ ณ ตอนนั้นไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นการจุดประกายให้ลูกสาวคนเล็กกลายเป็นดาวดวงเด่นประดับวงการอย่างทุกวันนี้ แต่ที่ทำให้ภูมิใจคือสิ่งที่คุณแม่คาดหวังไว้ในตอนนั้นเป็นไปดังตั้งใจ เมื่อแต้วสามารถจัดการชีวิตการทำงานและการเรียนของตัวเองได้อย่างลงตัว ผลการเรียนก็ดีขึ้นตามที่อยากให้เป็น
“พอมาทำงานแล้วเขาบอกเองว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จทุกวัน เพื่อไม่ให้งานค้างไปถึงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ต้องไปทำงาน แม่เลยรู้สึกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่เราพร่ำบอกมาตลอดว่าจะต้องเรียนนะ เพราะว่าเราไม่มีสมบัติอะไรให้ การเรียนจะทำให้เขาพัฒนา ทำให้เขามองโลกกว้างขึ้น และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้ที่เรียนมา เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย ฉะนั้นเมื่อเสาร์-อาทิตย์ไม่มีเวลา ก็ต้องใช้วันธรรมดาให้คุ้มค่า เวลาอยู่ในห้อง เขาจึงพยายามตั้งใจฟังครูให้มากที่สุด เก็บเกี่ยวจากในห้องเรียนเพื่อชดเชยกับการที่ไม่ได้อ่านหนังสือ เลยทำให้ผลการเรียนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ด้วยเหตุนี้เองแม้จะคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่แม่นิดก็ไว้วางใจในตัวลูกสาวตั้งแต่ยังเด็ก เพราะแต้วแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ โดยแม่นิดขอยกความดีความชอบให้กับโรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ ที่ปลูกฝังเรื่องการรักษากฎกติกาและระเบียบวินัยให้ทั้งเต๋าและแต้วมีความคิดที่มีเหตุผลและดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี
แต่กระนั้นด้วยจิตวิญญาณของความเป็นแม่ ถึงแม้ว่าลูกๆ จะดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี จนมาถึงวันนี้ที่เต๋าและแต้วประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตแล้ว แม่นิดก็ยังคงความห่วงใยเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา “ถึงเขาจะโตแล้ว แม่ก็ยังห่วงว่าเขาจะดูแลตัวเองได้ดีไหม จะดูแลครอบครัวเขาได้ดีไหม อย่างตอนที่มีการมาสู่ขอเต๋า แม่ก็อึกอัก เพราะลูกเรายังดูแลตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะไปดูแลใครได้ เลยบอกไปว่ารอให้เขาเป็นผู้ใหญ่อีกหน่อยดีไหม แต่ฝ่ายโน้นก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาจะปรับตัวเขาเอง คือจริงๆ แล้วความวางใจก็มีอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่ด้วยความเป็นแม่-ลูก เราไม่มีทางปล่อยวางได้หรอก อย่างน้อยๆ ก็จะห่วงใยว่าเขาจะมีความสุขไหม เรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม่ไม่ได้มองเลย แต่มองว่าเขาจะมีความสุขหรือเปล่ามากกว่า เพราะเอาจริงๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหน ถึงจะไปเป็นแม่ค้าในตลาดก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้มีความสุข และเป็นสิ่งที่เขาชอบ แม่ก็ดีใจแล้ว”
นั่นคือสิ่งที่แม่นิดหวังไว้เสมอ ซึ่งเมื่อวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ลูกสาวตัวน้อยของแม่ต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลตัวเองให้มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ ทั้งยังเปลี่ยนหน้าที่จากคนที่ถูกดูแล มาเป็นคนดูแลพ่อและแม่แทน จึงนับเป็นความภูมิใจที่สุดแล้วในฐานะคนเป็นแม่
“ตอนนี้เขารู้จักดูแลตัวเองให้ดี และยังดูแลแม่ด้วย เป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลก เข้าใจเพื่อนมนุษย์ และสามารถจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขแล้ว หากวันหนึ่งเราต้องจากไป ก็คงไม่มีอะไรให้ห่วงแล้วล่ะ” แม่นิดทิ้งท้ายพร้อมกับรอยยิ้ม
คัทลียา กระจ่างเนตร
“ลูกๆ ต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง”
“คนเป็นแม่ไม่ได้มีคำจำกัดความคำเดียวหรือสองสามคำที่สามารถอธิบายได้ว่านี่คือแม่ แต่มีอะไรที่ละเอียดและลึกซึ้งกว่านั้นมาก ถ้าถามว่าแหม่มเป็นแม่ที่ดุไหม ก็ดุในบางเวลาที่สมควรจะต้องดุ แต่ในบางครั้งเราก็เป็นแม่ที่เหมือนเป็นเพื่อนกับลูกๆ และในบางเวลาก็เป็นแม่ที่เป็นเหมือนพี่น้อง แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ มากกว่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด แหม่มเป็นแม่ที่ทุ่มเทเพื่อลูกมาก ลูกต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่งเสมอค่ะ”
“แหม่ม–คัทลียา กระจ่างเนตร” เปิดบทสนทนาด้วยการอรรถาธิบายถึงความเป็นแม่ในแบบฉบับของเธอ ซึ่งไม่ได้มีคำจำกัดความตายตัวหรือรูปแบบที่ชัดเจน ทว่าเต็มไปด้วยความหมายอันหลากหลายซับซ้อนเกินกว่าจะตีกรอบให้ได้ว่า “แม่” อย่างที่เธอเป็นนั้น คือคุณแม่แบบไหน
แหม่มบอกว่าอาจจะด้วยเพราะความรักเด็กเป็นทุนเดิม พอต้องมาเป็นคุณแม่ลูกสาม เธอจึงไม่เคยรู้สึกยากลำบากกับหน้าที่คุณแม่เลย กลับรู้สึกสนุกมากกว่าที่ได้อยู่กับลูกๆ ในทุกวัน ถึงจะมีความเหนื่อยปะปนมาบ้างตามประสาของคนที่เลี้ยงลูกเอง แต่นั่นก็เป็นเพียงความเหนื่อยกายที่ให้ความสุขทางใจ “โชคดีที่ตอนยังเล็ก น้องๆ ทั้งสามคนเลี้ยงไม่ยากเลย เพราะว่าเขาไม่ใช่เด็กงอแง ไม่ได้สร้างความลำบากให้เราในฐานะคนที่ต้องเลี้ยงเขา จะมีก็แต่เรื่องนอนน้อย ต้องให้นมทุกสองชั่วโมง หรือเรื่องที่ต้องพาเดิน อะไรอย่างนั้นมากกว่า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ต้องทำอยู่แล้ว พอโตมาก็จะมีความซนคนละแบบ แมคอาจจะซนกว่าน้องๆ ส่วนคินเป็นคนที่เจ้าเหตุผลมาก เนซซี่ก็จะมีความเป็นผู้หญิง เลยซับซ้อนกว่าคนอื่นเขา แต่โดยรวมแหม่มว่าลูกๆ เลี้ยงง่ายนะคะ ไม่ยากเลย”
คุณแม่ลูกสามเล่าถึงทายาทของเธอด้วยแววตาที่ฉายประกายแห่งความสุข ก่อนจะสำทับว่าลูกชายลูกสาวทั้งสาม แมค–สิริ, คิน–สยาม และเนซซี่–สิรินทร์ ไม่ค่อยมีวีรกรรมแสบๆ ซ่าๆ ให้ต้องปวดหัวเท่าไรนัก แม้จะเล่นแกล้งกันบ้างตามประสาเด็กวัยซน โดยเฉพาะพี่คนโตอย่างน้องแมคที่มักจะแกล้งแหย่น้องๆ ตลอด แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ไม่น่าเป็นห่วง
เราก็จะพูดอธิบายว่าข้อเสียของสิ่งที่เขาทำอยู่คืออะไร พูดกับเขาแบบมีเหตุมีผลเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะไม่เอะอะหรือห้ามทันที
เพราะถ้าบอกว่าห้ามเล่นอันนี้ ห้ามทำอันนั้น เขาจะไม่รู้ว่าที่ต้องห้ามเพราะอะไร และจะต่อต้านแน่นอน
“แมคมักจะแสดงออกว่ารักน้องโดยการแกล้ง ชอบแหย่ ชอบแกล้งให้น้องโวยวาย แต่จริงๆ แล้วเรารู้ได้ว่าเขาเป็นห่วงน้อง สำหรับคนเป็นแม่อย่างแหม่มสิ่งสำคัญที่เราเน้นย้ำเสมอคือ เป็นพี่น้องต้องรักกันเล่นกันได้ แกล้งกันได้ แหย่กันได้ แต่ไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความทุกข์ในขณะที่เรามีความสุข พี่น้องต้องรักกันต้องอยู่ทีมเดียวกัน แต่ถ้าเกิดว่ามีใครซนมากๆ เราก็จะพูดอธิบายว่าข้อเสียของสิ่งที่เขาทำอยู่คืออะไรพูดกับเขาแบบมีเหตุมีผลเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งจะไม่เอะอะหรือห้ามทันที เพราะถ้าบอกว่าห้ามเล่นอันนี้ ห้ามทำอันนั้น เขาจะไม่รู้ว่าที่ต้องห้ามเพราะอะไรและจะต่อต้านแน่นอน อย่างตัวเราเองจำได้เลยว่าสมัยเด็กๆ ถ้าแม่ห้ามอะไร เราก็จะแอบฝืนแอบต่อต้านว่าทำไมถึงห้าม ก็เลยใช้วิธีบอกเขาว่าที่ไม่ให้เล่นไม่ให้ทำเพราะอะไร ให้เหตุผลกับเขา และให้อิสระในความคิดเห็นของเขาด้วย ไม่ใช่ว่าต้องฟังแม่อย่างเดียว ห้ามเถียง แบบนั้นคงใช้กับเด็กสมัยนี้ไม่ได้แล้ว” แม่แหม่มเผยถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกในแบบฉบับของบ้านกระจ่างเนตร
หากมองในฐานะคนนอก หลายคนอาจจะคิดว่าการดูแลลูกสาวคนเล็กอาจจะต้องแตกต่างจากการดูแลพี่ชายทั้งสอง และทำให้คุณแม่ต้องปรับตัวมากขึ้นแต่สำหรับบ้านนี้ แหม่มบอกว่าแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย แม้น้องนุชสุดท้องอย่างเนซซี่จะมีความซับซ้อนแบบผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ก็มีความซนและห้าวอยู่ในตัวไม่แพ้พี่ชาย
“เนซซี่เองไม่ค่อยหวานแหววเท่าไร เขาจะเป็นคนติสต์ๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็อะไรก็ได้บางครั้งโดนพี่สองคนรุมก็จะพยายามสู้ให้ได้เพราะเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็เล่นไม่เหมือนกันเธอก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องไปให้รอด (หัวเราะ) ส่วนวิธีการเลี้ยงดู เอาจริงๆ ทั้งพี่แมค พี่คิน และเนซซี่ไม่แตกต่างกันเลย กินข้าวเหมือนกัน อาบน้ำเหมือนกันไม่ได้โอ๋ผู้หญิงเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่ได้รักลูกชายเป็นพิเศษ ให้เวลาให้ทุกอย่างเหมือนกันหมด”
คนเป็นแม่เล่าด้วยรอยยิ้มพร้อมเผยว่าจะมีที่แตกต่างกันบ้าง ก็คือเรื่องการไปเรียนต่างประเทศ เพราะน้องแมค ลูกชายคนโตไปเรียนที่อังกฤษเพียงลำพังตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ก่อนที่ปลายปีนี้น้องคิน ลูกชายคนรองในวัย 9 ขวบ จะตามไปเรียนมิดเดิ้ลสกูลด้วย ส่วนเนซซี่ ด้วยความที่เป็นผู้หญิงคุณแม่จึงอยากให้อยู่ใกล้ชิดกับที่บ้านก่อน “แต่เนซซี่เขาอยากไปนะคะ เลยจะมีเรื่องที่ว่าทำไมพี่ได้ไปเมืองนอก แต่เนซซี่ไม่ได้ไปสักที” แม่แหม่มเล่าเจือเสียงหัวเราะ
เมื่อต้องส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนาไกลจากอ้อมอก คนเป็นแม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยเป็นเรื่องธรรมดาแต่ด้วยความที่เลี้ยงดูลูกทุกคนมาแบบใกล้ชิดสนิทสนมแหม่มจึงไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะตลอด 3 ปีที่เรียนอยู่อังกฤษ น้องแมคโทรศัพท์กลับบ้านอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
“แหม่มว่าการเลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดสำคัญมากพอเราใกล้ชิดปุ๊บ ก็จะได้คุยกับเขาไปเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ สอนไปเรื่อยๆ เขาเลยค่อนข้างติดเรา ทุกวันนี้ทุกคนยังแซวเลยว่า อะไรเนี่ย แมคยังโทรหาวันละสองสามหนเลยเหรอ บังคับเขาหรือเปล่า เราก็บอกไม่เคยบังคับเลย เวลาเขาโทรมา ก็เป็นการโทรมาเช็กชื่อเฉยๆ ว่าทุกคนอยู่ไหม ปะป๊าอยู่ไหน คินกับเนซซี่ล่ะ แล้วโทนี่ (น้องหมา) อยู่ไหม สโนว์ (แมวจรจัดที่มาอยู่ในบ้าน) คนขับรถ ฯลฯ คือเป็นห่วงทุกคนอาจจะเพราะความเป็นพี่คนโต แล้วบ้านเราก็ใกล้ชิดกันมาก เลยทำให้เขากังวลว่าทุกคนยังอยู่ดีไหม ไม่ได้หายไปไหนใช่ไหม ทุกครั้งที่โทรมาเลยต้องเช็กชื่อตลอดแต่จะไม่พูดหรอกว่ารักจังเลย คิดถึงมาก ไม่มี หรือถ้ามีเรื่องอะไรอยากเล่าก็จะบอก แม่ๆ วันนี้สอบแล้วคะแนนออกมาได้เท่านี้ๆ คือด้วยความที่สมัยนี้สื่อสารกันได้ง่าย เลยทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้ห่างจากบ้านมากคิดถึงแม่เมื่อไหร่ก็โทรมาได้ แล้วนี่ไม่ใช้มือถือด้วยนะคะเพราะที่โรงเรียนไม่ให้ใช้มือถือ เขาโทรจากตู้มา เราก็รู้สึกดีว่าเขาเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายในแง่ของการคอยโทรศัพท์มาหาตลอด” เมื่อเล่าถึงความน่ารักของลูกชาย น้ำเสียงของแม่แหม่มก็ดูสดใสสดชื่นขึ้นมาทันที
ทุกวันนี้ด้วยขวบปีที่ยังอยู่ในช่วงวัยเรียนของลูกทั้งสาม แหม่มจึงมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดในช่วงนี้คือเรื่องการเรียน โดยไม่ปฏิเสธว่าเธอก็เหมือนแม่ๆ ทุกคนที่คาดหวังให้ลูกทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ในเมื่อยังอยู่ในวัยเรียน ก็ต้องเรียนให้เต็มที่
“ตอนนี้ทั้งสามคนไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย คิดแค่เรียนหนังสือให้ดี นี่คือหน้าที่หลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ต้องใส่ใจก็อาจจะมีเรื่องสุขภาพ ต้องออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงบ้าง นอกจากนี้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเพื่อน อยู่กับคนหมู่มาก ต้องรู้จัก Give and Take รู้จักการแบ่งปัน มีน้ำใจกับเพื่อน ซึ่งเรื่องพวกนี้เขาจะได้เรียนรู้ในโรงเรียนอยู่แล้ว ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ แหม่มมองว่าเขาต้องให้ความสำคัญกับการศึกษา ไม่ต้องไปคิดอย่างอื่น เป็นนักเรียนก็ตั้งใจเรียนให้เต็มที่เท่านั้นพอ” นี่คือสิ่งที่หวังไว้ในตัวลูกๆ ส่วนตัวแหม่มเอง เธอบอกว่าหน้าที่ของเธอคือการเป็นแม่ที่ต้องเป็นทุกอย่างให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นพี่เลี้ยง หรือเป็นอะไรก็ตามซึ่งเธอก็จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดเช่นกัน
“อย่างที่บอกว่าเพื่อลูกแล้ว แหม่มทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง เรื่องการสปอยล์ลูก ก็จะพยายามทำให้น้อยที่สุด ถามว่ามีไหม ต้องยอมรับความจริงว่ามีบ้าง บางทีลูกอยากได้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือเกินกำลัง เราก็ให้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแหม่มก็ไม่อยากให้ลูกยึดติดกับวัตถุมากกว่าจิตใจ เพราะคิดเสมอว่าเขาต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและแข็งแรงเพื่อที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย แหม่มเองก็จะเป็นแม่ที่เป็นให้ทุกอย่าง ทำให้ทุกอย่าง อะไรที่ลูกต้องการและดีกับตัวเขาเอง ถ้าแม่หามาให้ได้ ก็จะหามาให้หมดแล้วก็เสียสละทุกอย่างเพื่อลูกได้เสมอ โดยที่จะไม่เหนื่อย ไม่ท้อแท้ และไม่บ่นเลย” สายตาและรอยยิ้มอบอุ่นของแม่แหม่มที่ปิดท้ายประโยค ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า แม่คนนี้สามารถทำทุกอย่างเพื่อลูกได้จริงๆ
โชติกา วงศ์วิลาศ
“การเลี้ยงลูก เวลาเป็นเรื่องสำคัญ”
ยอมรับว่าภาพที่คิดไว้กับความเป็นจริงแตกต่างกันลิบลับ สำหรับ “เนย–โชติกา วงศ์วิลาศ” นักแสดงสาวสวยที่ตลอดสองปีมานี้ห่างหายจากหน้าจอทีวีไปทำหน้าที่คุณแม่อย่างเต็มตัว โดยเจ้าตัวเผยว่าก่อนจะมีลูกชายตัวน้อย น้องอคิณ มาเป็นแก้วตาดวงใจ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเธอเองจะมีสัญชาตญาณของความเป็นแม่ได้มากขนาดนี้ แม้ว่าจะตั้งใจเลี้ยงดูน้องอคิณด้วยตัวเองตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถึงกับยอมละจากงานที่รักอย่างการแสดงไปกว่าสองปี
“เป็นความตั้งใจของเนยตั้งแต่แรกที่จะเลี้ยงน้องอคิณเอง คือแพลนไว้ว่าถ้าแต่งงานแล้วจะมีลูกสักประมาณปีนี้นะ ถ้ามีลูกแล้วก็คงจะลดงานลงและให้เวลากับลูกมากที่สุด ซึ่งก็เป็นไปตามแพลนที่วางไว้ แต่ก็ไม่คิดว่าเราจะเลี้ยงลูกเองแบบเต็มเวลาถึงเกือบ 10 เดือน จนเขาเริ่มเดิน จึงหาผู้ช่วยมาดูแลเพราะกลัวอันตราย ซึ่งถ้าให้พูดตามจริง ภาพก่อนที่เราจะมีลูกกับหลังจากมีน้องอคิณแล้วแตกต่างกันมากเลยค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เนยไม่คิดว่าตัวเองจะมีความเป็นแม่ได้มากขนาดนี้ คือตอนที่ท้องเราก็รู้สึกว่าความเป็นแม่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถาโถมมามากมาย กระทั่งถึงวันที่ได้เห็นหน้าเขา จึงรู้สึกว่าเราต้องเป็นแม่ที่ดีให้ได้ จนตอนนี้เนยบอกได้เลยว่า การเป็นแม่ไม่ใช่เพียงแค่การเฝ้ามองพัฒนาการที่เติบโตขึ้นของลูก แต่ยังทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วยโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวนี้เวลาจะทำอะไรต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะอินเนอร์ของความเป็นแม่ทำให้ต้องคิดเยอะมากกว่าเดิม” นักแสดงสาวสวยเผยถึงความรู้สึกของความเป็นแม่ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงวันนี้
ด้วยความที่เป็นทั้งนักแสดง นักธุรกิจ และคุณแม่ในเวลาเดียวกัน ทำให้เนยต้องจัดสรรเวลาให้กับทุกพาร์ตของชีวิตอย่างดีที่สุด โดยเธอเลือกที่จะหยุดงานแสดงลงเพื่อให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่ส่วนเรื่องธุรกิจนั้นก็สามารถจัดการได้ในช่วงที่ว่างเว้นจากการดูแลลูกชาย “การทำธุรกิจสมัยนี้ง่ายขึ้นเพราะเน้นออนไลน์ เนยจะเข้าออฟฟิศแค่ช่วงกลางวันครึ่งวัน ที่เหลือก็เป็นเวลาของลูก จากนั้นพอลูกหลับประมาณสองทุ่ม ก็จะใช้เวลาช่วงกลางคืนแพลนงานทุกอย่าง ทั้งดูระบบออนไลน์ ดูบัญชี คือทุกอย่างจะทำหลังจากที่ลูกหลับแล้ว เลยไม่มีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลา ส่วนงานแสดง ด้วยความที่เราอยากให้เวลากับลูก จึงพักไว้ก่อน ถ้าปีหน้าน้องเริ่มโตขึ้นสักสองขวบกว่า ก็คิดว่าจะกลับไปรับงานละครสักเรื่องหนึ่งที่ใช้คิวไม่มาก เพราะถ้าน้องเริ่มโตขึ้นทุกอย่างก็น่าจะลงตัวมากขึ้น” คุณแม่คนดังเล่าถึงวิธีการจัดสรรเวลาในชีวิตประจำวันของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งบางคราเมื่อต้องมีธุระปะปังเนยยอมรับว่าเวลาที่มีให้กับลูกก็อาจลดน้อยลงไปบ้างโชคดีที่มีสามีอย่างอาร์ม–จันทร์สิริ มณีฉาย และคุณย่า คอยช่วยแบ่งเบาดูแลลูกชายในยามที่เธอติดภารกิจ จึงทำให้เบาใจลงได้บ้าง เพราะในวัยเด็กเล็กที่อายุยังไม่ถึงสองขวบ น้องอคิณมีความซนและดื้อตามประสาเด็กวัยเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ซึ่งทำให้คุณแม่อย่างเธอค่อนข้างเป็นห่วง
“ตอนนี้เพิ่งจะขวบแปดเดือน แต่อคิณก็ไม่ค่อยอยู่นิ่งแล้ว เป็นเด็กที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น แม่ทำอะไร แม่กินอะไร แม่จะไปไหน และที่เป็นห่วงมากคือเขาชอบเอาของเข้าปาก ทำให้เรากลัวว่าจะเป็นอันตรายไหม ซึ่งก็ต้องขอบคุณสามีที่ช่วยเลี้ยงลูกเยอะมาก เพราะถึงเราจะมีผู้ช่วย มีพี่เลี้ยง แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้น้องอยู่กับพี่เลี้ยงเพียงลำพังถ้าเนยไปทำงาน ก็ต้องมีคุณพ่อเขาอยู่ด้วย และถ้าคุณพ่อเขาไปทำงานพร้อมกัน ก็ต้องมีคุณย่าอยู่คืออยากให้มีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนน้องตลอดเราจะได้วางใจ เนยมองว่าสำหรับการเลี้ยงลูกแล้วเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่อยากจะมีลูก ต้องพร้อมที่จะให้เวลากับเขา ถ้าเราจัดสรรเวลาไม่ได้เลย ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคุณยายคุณย่าที่สามารถจะเลี้ยงน้องได้เหมือนเราให้มาช่วยดูแล เพราะเด็กต้องการความรัก ต้องการความอบอุ่นจากครอบครัวเวลาของคนในครอบครัวที่จะมอบให้กับเขา จึงเป็นเรื่องจำเป็นอันดับหนึ่งที่เด็กต้องการค่ะ”
เนยเล่าถึงสิ่งที่เธอให้ความสำคัญในฐานะแม่และความห่วงใยที่มีให้กับลูกน้อย ซึ่งหากให้พูดตามตรง เธอบอกว่า ด้วยความเป็นแม่จึงเป็นห่วงทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องอคิณจนกลายเป็นคนคิดมากแต่ทุกวันนี้เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น เธอก็พยายามคิดให้น้อยลงแล้วหันมาโฟกัสที่การเลี้ยงดูแทน โดยตั้งใจจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกในทุกด้านเท่าที่แม่คนหนึ่งจะให้ได้เพื่อให้เขาเป็นเด็กอารมณ์ดีและมีความสุขตามที่เธอหวังไว้ ก่อนจะเผยว่า ถึงแม้ตอนนี้น้องอคิณจะยังไม่ดื้อหรือซนมากนัก แต่เธอก็เตรียมรับมือกับ Terrible Two หรือความเป็นวายร้ายของเด็กในวัยสองขวบที่จะเริ่มเอาแต่ใจตัวเองและท้าทายพ่อแม่มากขึ้นไว้แล้ว โดยมีกฎประจำบ้านที่สมาชิกทุกคนต่างให้ความร่วมมืออย่างดีเป็นพื้นฐานในการสร้างความเข้าใจและปลูกฝังสิ่งที่ถูกต้องให้แก่เขา
ทุกวันนี้เนยจะอนุญาตให้น้องอคิณเล่นไอแพดเป็นเวลา คือจะให้ดูหลังจากตื่นนอนรอบบ่ายวันละหนึ่งครั้ง
ครั้งละสิบนาที เพราะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วในยูทูบหรือในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มีสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่เหมือนกัน
“ทุกวันนี้เรามีกฎสำคัญของที่บ้าน คือห้ามเถียงเรื่องวิธีการเลี้ยงดูต่อหน้าเขาเด็ดขาด หากอยู่ต่อหน้าน้องอคิณ ทุกคนในบ้านต้องมีความเห็นตรงกัน เหมือนกัน สมมติว่าถ้าเนยห้ามลูกเล่นอะไรสักอย่าง ปะป๊าจะมาบอกว่าทำไมไม่ให้ลูกเล่นล่ะ ให้เล่นสิ ไม่ได้เด็ดขาด เพราะจะทำให้เขาเขวและเข้าใจผิด ต่อไปถ้าเนยดุปุ๊บ เขาจะเข้าไปหาคุณพ่อทันที เหมือนมุ่งไปหาคนที่เอาใจเขา และจะกลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ดังนั้นที่บ้านเราจึงมีกฎว่า ทุกคนต้องมีความเห็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเนยเอง คุณพ่อเขา คุณย่า หรือว่าพี่เลี้ยง หากเมื่อไรที่มีความเห็นไม่เหมือนกันขึ้นมา ต้องขอหลังไมค์ มาคุยกันข้างนอก เราจะไม่แสดงความเห็นที่ไม่ตรงกันต่อหน้าลูก ไม่อย่างนั้นพอแม่ดุ เขาก็จะวิ่งหาพ่อ พ่อดุ วิ่งหาย่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้น้องเป็น” นั่นคือข้อตกลงร่วมกันของทุกคนในครอบครัว
สำหรับเนยแล้ว นอกจากความห่วงใยในตัวลูกชายประสาคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกคนแรก การเลี้ยงดูลูกในยุคดิจิตอลก็มีเรื่องให้ต้องกังวลใจเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาเด็กกับเครื่องมือในการเข้าถึงโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งเธอเองก็พยายามหาวิธีรับมือให้ลูกชายเติบโตอย่างทันยุคทันสมัย เข้าใจโลกยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่เสพติดจนเกินไป
“เรื่องโทรศัพท์ ไอแพด ตอนนี้เขาก็อยากดู อยากได้ พอไปไหนแล้วเห็นเด็กคนอื่นได้ดู เขาก็จะขอดูด้วย ซึ่งเนยมองว่าเขาเป็นเด็กที่เกิดในยุค 4G ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็เป็นธรรมดาที่ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ เราในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องบอกลูกว่าอันไหนทำได้หรือทำไม่ได้ ต้องคอยดูเขาอย่างใกล้ชิด แล้วชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ อย่างทุกวันนี้เนยจะอนุญาตให้น้องอคิณเล่นไอแพดเป็นเวลา คือจะให้ดูหลังจากตื่นนอนรอบบ่ายวันละหนึ่งครั้ง ครั้งละสิบนาที เพราะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วในยูทูบหรือในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มีสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่เหมือนกัน เราแค่ต้องเลือกให้เขาดูในสิ่งที่ควรดู สิ่งที่จะช่วยเพิ่มความรู้ให้เขา อย่างพวกเพลงเด็กหรือการท่อง A B C ซึ่งพอเขาดูแล้ว ก็จะมีจินตนาการที่ดี แต่ต้องไม่ดูเยอะเกินไป สำหรับน้องอคิณ เนยให้ดูเพียงแค่สิบนาทีต่อวันเท่านั้นค่ะ”
เรียกได้ว่าเป็นคุณแม่ที่เข้าใจพัฒนาการของลูกน้อยและมีวิธีเลี้ยงลูกแบบทันยุคทันสมัยจริงๆ แต่ถึงอย่างไรแม่ก็คือแม่ ที่มักจะคาดหวังให้ลูกเติบโตไปในทิศทางที่อยากให้เป็น ซึ่งสำหรับเนย สิ่งที่เธอหวังไว้ในตัวน้องอคิณ ไม่ใช่การเรียนเก่งหรือเป็นคนเก่งในทุกด้าน เพียงแค่เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขในแบบของตัวเองเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“เรื่องคาดหวัง เนยเชื่อว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ส่วนตัวเนยเองก็อยากให้น้องอคิณมีความสุขในการใช้ชีวิตและเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเอง โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด คิดเป็น เป็นคนดี ซึ่งเราคงคาดหวังสุดๆ ได้เพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะเป็นคนเก่งไหม จะทำอะไรได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง เรามีหน้าที่คอยซัพพอร์ตเขาให้มากที่สุดในทางที่เขาเลือกเท่านั้นค่ะ” คุณแม่น้องอคิณกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม กับความคาดหวังในตัวลูกชายที่เธอเฝ้าทะนุถนอมมาด้วยสองมือของคนเป็นแม่
กชกร ภูวกุล
“ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ ลูกๆ จะต้องอยู่กันต่อไปได้”
หากเอ่ยชื่อแบมแบม–กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ในช่วงเวลานี้ คนไทยกว่าค่อนประเทศและแฟนเพลงเกาหลีทั่วโลกคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเขาคือสมาชิกคนไทยเพียงหนึ่งเดียวของบอยแบนด์ชื่อดัง GOT 7 ที่ได้รับความรักและความสนใจจากแฟนคลับอย่างมากมาย ทว่าหากย้อนกลับไปในช่วงชีวิตวัยเด็กของแบมแบม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ หากไม่มีแรงบันดาลใจและกำลังใจจาก “แม่จุ๋ม–กชกร ภูวกุล” ผู้คอยเป็นแรงผลักดันและช่วยขับเคลื่อนความฝันของลูกชายให้เป็นจริง
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ในวันที่แบมแบมยังอายุได้เพียง 5 ขวบ ครอบครัวภูวกุลต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อคุณพ่อจากไปก่อนวัยอันควร แม่จุ๋มจึงต้องกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกๆ ทั้ง 4 คนที่ยังอยู่ในวัยเด็ก ซึ่ง ณ ตอนนั้นแทบไม่มีใครเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะกัดฟันฮึดสู้เลี้ยงดูลูกๆ มาได้อย่างเข้มแข็ง แม้จะต้องเผชิญกับความเหนื่อยยากหรือลำบากแค่ไหนก็ตาม
ตอนเดบิวต์ออกมาแรกๆ ก็มีปัญหา ถูกโจมตีในโซเชียล เพราะเขาเป็นคนช่างพูด แต่คนไม่เข้าใจ หาว่าพูดมากแย่งซีนลีดเดอร์
น้องก็เลยเสียใจ แม่เองก็เสียความรู้สึกมากเชื่อไหมว่าตอนนั้นเราสองคนแม่ลูกร้องไห้คุยกันผ่านโทรศัพท์เกือบทุกคืน
“จริงๆ แล้วตอนที่คุณพ่อเขายังอยู่ ทั้งเบียร์ (ศรัณย์ชัย) แบงค์ (ชินดนัย) แบม และเบบี้ (หทัยชนก) มีความเป็นเด็กซนมาก แต่พอคุณพ่อเสียโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ก็เหมือนกับเด็กๆ เขารู้ว่าเรากำลังลำบากแล้วตัวแม่เองพอเสียพ่อไปแบบกะทันหัน ก็คิดว่าเราอาจจะจากลูกไปเมื่อไรก็ได้ เลยอยากให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ เอาตัวรอด คิดว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ เขาจะต้องอยู่กันต่อไปได้ ฉะนั้นลูกๆ ทุกคนจึงต้องช่วยกันทำงาน เลิกเรียนก็ต้องมาช่วยแม่ขายของเสาร์-อาทิตย์ต้องตื่นเช้าไปช่วยแม่ตั้งร้านในตลาดนัดที่โรงพยาบาล พอไปถึงทุกคนจะช่วยกันตั้งโต๊ะ ขายของเก็บของ ถ้าวันไหนฝนตก ของเปียก กลับมาบ้านสามสี่ทุ่มก็ต้องช่วยกันเช็ดของที่เปียก ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าจะไม่มีของให้ขาย คือจริงๆ ตอนนั้นก็มีญาติๆ ที่หวังดีจะพาลูกคนนั้นคนนี้ไปช่วยเลี้ยงให้ แต่เราก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว จึงพยายามบอกลูกว่าถ้าอยากอยู่ด้วยกัน ก็ต้องสู้ไปด้วยกันนะเอาตัวรอดให้ได้ เวลาไปนั่งขายของในตลาดนัดแล้วเจอเพื่อน ก็ต้องไม่อาย ถ้าเราไม่อยากจะแยกกัน ก็ต้องช่วยกันทำงาน” แม่จุ๋มเล่าถึงช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ยังคงมีแรงใจให้สู้ เพราะลูกๆ
ในขณะที่ชีวิตในแต่ละวันช่างยากเย็น สิ่งที่พอจะเป็นความสุขของแม่จุ๋ม นอกจากลูกๆ แล้วก็คือศิลปินที่ชื่นชอบ ในช่วงที่เบียร์ แบงค์ แบม และเบบี้เริ่มโตขึ้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซีรีส์ F4 ของไต้หวันกำลังโด่งดัง ตามมาด้วยศิลปินเกาหลีที่เริ่มเข้ามาตีตลาดในเมืองไทย และแม่จุ๋มก็คือหนึ่งในแฟนคลับตัวยงของดาราและนักร้องเหล่านั้น
“เวลาเราชอบใคร ก็จะเอาส่วนดีของคนนั้นมาชี้นำลูก อย่างเจอร์รี (เจอร์รี เหยียน นักแสดงชาวไต้หวัน) เป็นคนดี เรียบร้อย มีสัมมาคารวะ มีความรับผิดชอบ ซึ่งตามประวัติเขาเคยเป็นคนยากจนมาก่อนส่วนเรน (ศิลปินเกาหลี) ก็เหมือนกัน เขากับน้องเคยอยู่บ้านเด็กกำพร้า เพราะพ่อแม่เลิกกัน และกว่าจะได้เดบิวต์ ต้องเต้นให้ท่านประธานพัคจินยอง (ประธานบริษัท JYP Entertainment) ดูตั้งกี่ครั้งจนแทบท้อแม่ก็เล่าให้ลูกๆ ฟังตลอดว่า ดูสิเมื่อก่อนพวกเขาก็เคยลำบากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงตอนนี้ชีวิตเราจะไม่ดีเหมือนคนอื่น แต่ก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้ถ้าเราพยายาม คือตอนแรกแม่ไม่ได้คิดว่าจะให้ลูกเข้าวงการ แค่อยากให้เขารู้สึกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งหากลูกเจออะไรที่ชอบแล้วพยายาม ลูกก็สามารถสำเร็จเหมือนเขาได้” คุณแม่เผยถึงแรงบันดาลใจที่ได้จากการเป็นแฟนคลับของศิลปินดัง ซึ่งไม่เพียงมอบความสุขให้กับตัวเอง แต่ยังสร้างประกายความฝันให้กับลูกๆ ของเธอด้วย
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการให้แรงบันดาลใจแก่ลูกๆ ซึ่งประจวบกับช่วงนั้นแบมแบมติดเกมอย่างหนัก แม่จุ๋มจึงหาวิธีให้เลิกติดเกมด้วยการพาไปดูโชว์ของเรนเพื่อให้เห็นว่าการออกมาเต้นดีกว่าหมกมุ่นอยู่กับเกมแถมยังสร้างรายได้ได้อีกด้วย จนจุดประกายให้ลูกๆ หันมาสนใจด้านการเต้นอย่างจริงจัง ซึ่งคุณแม่ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ กระทั่งแบมแบมและเบบี้มีโอกาสไปแข่งขันและได้รางวัลชนะเลิศกลับมาทำให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่สามารถหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวได้จริงๆ ก่อนที่แบมแบมจะตระเวนโชว์ตามอีเวนท์ต่างๆ และเข้าร่วมประกวด Rain Cover Dance ซึ่งเป็นการออดิชั่นของค่าย JYPค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้จนได้รางวัลชนะเลิศกลับมา
“จริงๆ ตอนไปออดิชั่น ทางค่ายเขาก็สนใจแต่ช่วงนั้นมีค่ายไทยติดต่อเข้ามาด้วย เราก็คิดว่าอยู่ไทยดีกว่า ลูกจะได้อยู่ใกล้ๆ เพราะตอนนั้นแบมยังเล็กมากและติดแม่มากด้วย แต่เผอิญว่าทางค่ายไทยติดปัญหาอะไรหลายอย่าง เลยต้องพับเรื่องไปก่อน จนผ่านไปสองปีก็ได้คุยกับทางเกาหลีอีกครั้งแม่เลยให้ลูกตัดสินใจเอง เพราะคิดว่าลูกพอจะมีประสบการณ์บ้างแล้วจากการไปโชว์บ่อยๆ อีกอย่างเมื่อลูกทนกับความลำบากในการนั่งขายของที่ตลาดนัดได้โดยที่ไม่บ่นว่าลำบาก ก็น่าจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีพอ เลยบอกเขาว่า แม่ให้แบมตัดสินใจนะว่าจะไปหรือไม่ไป ถ้าแบมอยากไป ก็ไม่ต้องกดดันตัวเอง เพราะเราไม่รู้วัฒนธรรมทางนั้นเลย แล้วลูกไม่ได้ภาษาของเขา ร้องเพลงก็ไม่ได้ ได้แค่เต้นอย่างเดียวถ้ารู้สึกว่าไปแล้วจะลำบากมาก ก็ไม่จำเป็นต้องไปเพราะอยู่ที่นี่ก็ไม่อดตาย แต่เขาก็เลือกที่จะไป บอกว่าขอแบมไปทดลองดูก่อนนะ อยากจะทำให้ได้เหมือนเรนและอยากช่วยให้ฐานะของบ้านเราดีขึ้นเร็วกว่าการมานั่งขายของที่ตลาดนัดอยู่ทุกวัน”
หลังจากปล่อยให้ลูกได้เดินตามความฝันของตัวเอง แม่จุ๋มยอมรับว่าช่วงแรกเป็นห่วงมาก จึงเฝ้าคอยโทรศัพท์จากลูกชายทุกวัน เพื่อจะช่วยแบ่งเบาปัญหาและความกังวลที่ลูกต้องเผชิญ จนกระทั่งถึงวันเดบิวต์ แม่จุ๋มก็ยังอดห่วงไม่ได้ กลัวว่าหากผลงานออกมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แบมแบมจะรู้สึกแย่จนไม่มีกำลังใจทำอะไรต่อ “ตอนเดบิวต์ออกมาแรกๆ ก็มีปัญหา ถูกโจมตีในโซเชียล เพราะเขาเป็นคนช่างพูด แต่คนไม่เข้าใจ หาว่าพูดมาก แย่งซีนลีดเดอร์ น้องก็เลยเสียใจ แม่เองก็เสียความรู้สึกมาก เชื่อไหมว่าตอนนั้นเราสองคนแม่ลูกร้องไห้คุยกันผ่านโทรศัพท์เกือบทุกคืนเพราะพอเข้าไปอ่านคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียก็เห็นว่าวันนี้โดนด่าอีกแล้ว ในฐานะคนเป็นแม่ เราก็ทำได้แค่คอยปลอบเขาไปเรื่อยๆ จนกระแสค่อยๆ ดีขึ้นมาตามลำดับ” แม่จุ๋มถ่ายทอดความรู้สึกของช่วงเวลานั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คุณแม่เผยความในใจว่าแทบไม่เคยคาดคิดว่าแบมแบมจะกลายเป็นที่รักของแฟนๆ มากมายอย่างนี้ เมื่อมาถึงจุดที่เกินฝัน เพราะพลังสนับสนุนจากแฟนคลับ แม่จุ๋มจึงเพียรสอนลูกเสมอว่า ต้องให้ความสำคัญและดีกับแฟนคลับให้มาก เพราะพวกเขาไม่เพียงซัพพอร์ตแบมแบม แต่ยังมอบความรักและความห่วงใยมาถึงทุกคนในครอบครัวอีกด้วย
เรียกได้ว่ากว่าจะมาถึงช่วงเวลาที่แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในบ้านภูวกุล ทุกชีวิตในบ้านต่างก็ร่วมกันเผชิญปัญหาและฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายโดยเฉพาะคนเป็นแม่ที่ต้องประคับประคองครอบครัวให้อยู่มาได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เมื่อพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ยากลำบากเหมือนแต่ก่อน แม่จุ๋มจึงตัดสินใจวางรากฐานสุดท้ายให้กับลูกๆ ด้วยการเปิดร้าน B’Chill Café & Restaurant เพื่อให้เป็นธุรกิจของครอบครัวที่จะสามารถเลี้ยงดูลูกทุกคนได้ในอนาคต
“แม่พยายามทำร้านขึ้นมาทั้งๆ ที่เราก็เหนื่อยมากแล้ว แบมก็บอกว่าม้าพักดีกว่าไหม พ่อแม่คนอื่นเขาพักกันหมดแล้วนะ แต่เราก็คิดว่าการเป็นไอดอลไม่ได้ยืนยาว แล้วลูกก็ไม่ได้มีเงินเยอะอย่างที่คนอื่นคิดฉะนั้นต้องต่อยอดเงินที่ได้มาด้วยการลงทุนทำอะไรสักอย่าง เผื่อว่าอีกหน่อยแบมกลับมาแล้วจะได้มีกิจการของครอบครัวไว้รองรับ ตอนแรกก็ถามแบมว่าแบมชอบเสื้อผ้า เราทำเสื้อผ้าขายไหม แต่แบมบอกว่าเราถนัดเรื่องอาหาร เพราะแม่เคยขายข้าวแกงมาก่อนดังนั้นเปิดร้านอาหารน่าจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็มีพื้นที่ให้แฟนคลับมานั่งเล่นนั่งคุยกัน จนตอนนี้ก็เปิดมาได้สองปีแล้ว ถามว่ามีกำไรเยอะไหม ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เราถนัดจริงๆ แล้วล่ะ” คุณแม่เล่าถึงความหวังที่ตั้งใจไว้
ในฐานะคนเป็นแม่ แม่จุ๋มบอกว่าตัวเองโชคดีที่ลูกๆ ไม่ดื้อและเป็นเด็กดี ซึ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการปลูกฝังให้รู้จักความลำบากตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งเบียร์แบงค์ แบม และเบบี้จึงเข้าใจถึงการสู้ชีวิตและคุณค่าของเงิน โดยเฉพาะแบมแบมที่ไม่เพียงดูแลตัวเองได้ยังห่วงใยถึงทุกคนในครอบครัวด้วย “แม่ก็ดีใจที่แบมแบมสามารถช่วยที่บ้านได้อย่างที่เขาตั้งใจ นับว่าเป็นความโชคดีของแม่จริงๆ ค่ะ” น้ำเสียงปลื้มปีติที่สื่อออกมาในขณะที่เอ่ยประโยคนี้ สะท้อนถึงความภูมิใจของคุณแม่ที่มีต่อตัวลูกชายได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมเลย