PHOTOGRAPHY: COURTESY OF BRANDS
นอกจากความ “ลักซ์ชัวรี่” จะทำให้แบรนด์แฟชั่นคำนึงถึงคุณภาพ การออกแบบ และความโดดเด่นอันเป็นลักษณะเฉพาะแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ พวกเขาไม่ได้ขายเพียงสินค้า แต่ขายตัวตนและจุดยืน ที่ทำให้ใครต่อใครอยากที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์นั้นๆ
Stella McCartney
ไอเดียเรื่องความยั่งยืนและรักษ์โลกไม่ใช่สิ่งใหม่อีกต่อไปในวงการแฟชั่น นับตั้งแต่ที่ Stella McCartney ประกาศกร้าวว่าแบรนด์ของตนเองจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเมื่อ 20 ปีก่อน แน่นอนว่าการที่ Stella รับประทานมังสวิรัติและเติบโตมาในฟาร์มออร์แกนิก ล้วนมีส่วนทำให้เธอปลุกปั้นแบรนด์หรูที่ดำเนินการควบคู่กับนโยบายที่เน้นความยั่งยืนได้สำเร็จ ทุกวันนี้ชื่อของเธอจึงไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะลูกสาวของหนึ่งในสมาชิกวง The Beatles เพียงเท่านั้น แต่ Stella McCartney กลายเป็นคำที่สื่อถึงแบรนด์แฟชั่นที่เอาจริงเอาจังเรื่องสิ่งแวดล้อมไปแล้ว
สำหรับคอลเลคชั่นล่าสุดอย่าง Winter 2021 ได้เผยให้เห็นถึงความต้องการในการแต่งตัวออกไปข้างนอก โดยได้รับแรงบันดาลใจและต่อยอดมาจากตัวอักษร D (Desire) จาก A to Z Manifesto: Spring 2021 คอลเลคชั่นก่อนหน้าของแบรนด์นั่นเอง ซึ่งนอกจากการคงคอนเซ็ปต์ไม่ใช้หนังแท้ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้ว มาคราวนี้ยังเลือกใช้วัสดุที่ 77% เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
แม้ว่ายังมีข้อถกเถียงในเรื่องพื้นฐานอย่างคุณภาพของหนังเทียมที่ด้อยกว่าหนังแท้ในหลายๆ มิติ แต่ Stella McCartney ก็ไม่หยุดพัฒนาการผลิตให้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการใช้ Alter-nappa วัสดุที่ใช้แทนหนังแท้เคลือบด้วยไขมันจากพืช ในขณะที่ไนลอนที่ใช้เวลานานในการย่อยสลายก็ถูกทดแทนด้วย Econyl® ที่ทำมาจากพลาสติกเหลือใช้ นำไปทอเป็นผ้าที่มีคุณสมบัติทัดเทียมกับไนลอนบริสุทธิ์ กระทั่งหน้าร้านในอังกฤษก็ใช้ไม้ที่ถูกควบคุมดูแลอย่างยั่งยืน หลอดไฟเป็นหลอด LED ที่ประหยัดพลังงาน แม้แต่ไฟฟ้าก็มาจากกังหันลม
อย่างไรก็ตามแบรนด์อายุน้อยอย่าง Stella McCartney ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเทสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ทีมงานทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องตั้งมาตรฐานในเรื่องนี้ให้สูงเข้าไว้ ไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคต มุมมองที่มีต่อแฟชั่นหรูอาจจะเปลี่ยนไปในแบบที่เราคาดไม่ถึงมาก่อน อย่างที่ครั้งหนึ่ง Stella เคยกล่าวไว้ว่า “วงการแฟชั่นกำลังค่อยๆ ถอยห่างจากการฆาตกรรม”
Gucci
ด้วยความเชื่อที่ว่า “ความยั่งยืนในทุกๆ มิติ คือการเคารพในสิ่งแวดล้อมพอๆ กับการเคารพผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้” ทำให้ Gucci เปิดตัวคอลเลคชั่น Gucci Off The Grid ขึ้นมาในปี 2020 เพื่อเปิดทางไปสู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ อิสรภาพในการไล่ตามความฝันด้วยความใคร่รู้อย่างสนุกสนาน
Alessandro Michele ครีเอทีฟไดเรกเตอร์แห่งแฟชั่นเฮาส์สัญชาติอิตาเลียนนี้ เลือกใช้วัสดุออร์แกนิกรีไซเคิล วัสดุชีวภาพ รวมไปถึง Econyl® ในการผลิตกระเป๋า รองเท้า แอคเซสซอรี และเสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ ในคอลเลคชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ โดยแรงบันดาลใจสำคัญอย่างหนึ่งเกิดจากการทำงานกันเป็นทีมของกลุ่มคนที่กำลังพยายามสร้างสิ่งใหม่ร่วมกัน จึงนำไปสู่แคมเปญพิเศษที่นำเอาเซเลบริตี้อย่าง Jane Fonda, Lil Nas X, David Mayer de Rothschild, King Princess และ Miyavi มาทำอะไรๆ สนุกร่วมกันในบ้านต้นไม้ใจกลางมหานครลอสแอนเจลิส
ความแตกต่างทั้งอายุ สีผิว และเชื้อชาติของแต่ละคน สื่อได้ถึงความหลากหลายของผู้คนบนโลก เพราะบางทีอาจเป็นเพราะว่าเราตัวเล็กเกินกว่าจะเห็นโลกและความเป็นไปของมัน และบ้านต้นไม้ใจกลางเมืองนี้เองที่มีส่วนช่วยทำให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของโลกใบนี้รวมไปถึงผู้คนที่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น โดยภาพจากแคมเปญนี้ยังได้ถูกเนรมิตไปเป็นสตรีตอาร์ตบน Gucci Art Wall ตามเมืองใหญ่อย่างมิลาน ลอนดอน เซี่ยงไฮ้ นิวยอร์ก และฮ่องกง อีกด้วย
นอกจากนั้น Gucci Off The Grid ยังได้ต่อยอดไปสู่แคมเปญ Gucci Equilibrium เพื่อตอกย้ำเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงผู้คนและโลกให้ดีขึ้น โดยเน้นไปที่ความพยายามในการทำสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และเพื่อฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 100 ของแบรนด์ Gucci จึงเดินหน้าแสดงพลังสร้างคุณค่าบนวิถีทางที่จะขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
Balenciaga/Alexander McQueen
ในปี 2020 ที่ผ่านมา Kering ผู้ถือลิขสิทธิ์แบรนด์แฟชั่นระดับโลกจากฝรั่งเศส คว้าอันดับที่ 7 องค์กรที่มีความยั่งยืนที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Corporate Knights Global 100 ในขณะที่ 6 อันดับก่อนหน้า ไม่ใช่บริษัทเกี่ยวกับแฟชั่นเลย ซึ่งเกณฑ์โดยทั่วไปที่ใช้เป็นตัวชี้วัดก็คือการดำเนินงานจัดการทรัพยากร การจัดการคน เงิน การลงทุนต่างๆ นั่นเอง และล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2021 สองแบรนด์หรูในเครืออย่าง Balenciaga และ Alexander McQueen ก็ออกมาประกาศเลิกใช้เฟอร์อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่า Balenciaga จะหลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์มาได้สักพักใหญ่แล้ว นับตั้งแต่ที่ Demna Gvasalia เข้ามาเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับแบรนด์เมื่อปี 2015 ทว่าครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ได้ประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ถึงจะประกาศแบบเงียบๆ แต่ขึ้นชื่อว่า Balenciaga ขยับตัวแต่ละทีย่อมไม่มีอะไรธรรมดา เพราะมันอาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของวงการแฟชั่นก็เป็นได้
อันที่จริงแบรนด์ในเครืออย่าง Gucci ก็ได้มีการประกาศจุดยืนเรื่องเฟอร์ไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมไปถึงแบรนด์อื่นๆ ทั้ง Prada, Versace และ Chanel ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าการขยับตัวครั้งล่าสุดของ Balenciaga และ Alexander McQueen นี้ ยิ่งเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่แข็งแรงให้อุตสาหกรรมแฟชั่นมากขึ้นไปอีกระดับ เพราะนอกจากการแสดงออกถึงแนวคิดเรื่องความยั่งยืนแล้ว แบรนด์ที่เป็นดั่ง Trendsetter เหล่านี้ ยังมีส่วนช่วยในการสร้าง “รสนิยมใหม่” ให้กับลูกค้าของพวกเขาอีกด้วย