Lifestyle

LIFESTYLE
Halloween Movie Night
ปิดไฟล้อมวงดูหนัง อีกหนึ่งสีสันของคืนฮาโลวีน

By 26 October 2021 No Comments

เทศกาลฮาโลวีนปีนี้กลับมามีสีสันอีกครั้ง หลังจากที่สถานการณ์หลายๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ในส่วนของเทรนด์แฟชั่นและการแต่งกายก็มีความหลากหลายมากกว่าปีก่อนๆ ที่เน้นไปที่ความน่ากลัวเป็นหลัก ทำให้ปาร์ตี้ฮาโลวีน 2021 ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ทว่านอกจากกิจกรรมอย่างการแต่งกาย การประดับประดาตกแต่งสถานที่ หรือการเล่นทริกออร์ทรีตของเด็กๆ แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการชวนเพื่อนๆ มานั่งล้อมวงดูหนังกันสักเรื่อง

Power จึงอยากชวนคุณมาดูหนังกันในเทศกาลฮาโลวีนนี้ เพื่อเติมเต็มบรรยากาศของเทศกาลให้คลาสสิกสุดๆ ถ้าพร้อมแล้วก็จัดแจงเตรียมขนมขบเคี้ยวให้พอ หรี่ไฟลงสักหน่อย ล็อกประตูหน้าต่างให้มิดชิด ที่สำคัญอย่ารับโทรศัพท์เป็นอันขาด ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการดูหนังก็เท่านั้นเอง

Scream (1996)

ไม่มีหนังสยองขวัญในยุค 90 เรื่องไหนจะสร้างปรากฏการณ์อันน่าตื่นตะลึงไปกว่า Scream ได้อีกแล้ว เรื่องราวของฆาตกรโรคจิตภายใต้หน้ากากผีกับการตามล่าเหยื่อวัยรุ่นทีละคนนี้ ได้กลายมาเป็นต้นแบบของหนังสยองขวัญในเวลาต่อมาอีกนับไม่ถ้วน ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ถือว่ามีความแปลกใหม่ในยุคนั้น การที่คนดูต้องคอยลุ้นว่าตัวจริงของคนร้ายเป็นใคร โทรศัพท์ปริศนาที่ทำให้ต้องสะดุ้งทุกทีที่ดังขึ้น รวมถึงใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ล้วนแล้วแต่ทำให้คนดูต้อง “หวีดสุดขีด” สมชื่อเรื่อง

ความสำเร็จของภาคแรก ทำให้มีการสร้างภาคต่อออกมาอีกในปี 1997, 2000 และ 2011 โดยล่าสุดได้มีข่าวว่า Scream กำลังจะกลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันรีบูต ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของทั้งนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น Dylan Minnette (13 Reasons Why), Mason Gooding (Let It Snow) และ Mikey Madison (Once Upon a Time… in Hollywood) กับนักแสดงชุดคลาสสิกอย่าง Neve Campbell, Courteney Cox และ David Arquette เหล่าตัวละครดวงแข็งที่อยู่กับเรามาตลอด 25 ปีนี้

The Blair Witch Project (1999)

ครั้งหนึ่ง Stephen King เจ้าพ่อนิยายสยองขวัญชื่อดังเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมอยู่ในโรงพยาบาลในสภาพมึนยา ลูกชายก็ได้คะยั้นคะยอให้ดูหนังเรื่องหนึ่งให้ได้ แต่หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งเรื่อง ผมก็ต้องบอกลูกว่า ‘ปิดมันซะ’ มันน่ากลัวเกินไป” และหนังที่เขาดูในวันนั้นก็คือ The Blair Witch Project

The Blair Witch Project เป็นหนังทุนต่ำแนวสารคดี ว่าด้วยวัยรุ่น 3 คนที่พยายามเข้าไปตามรอยตำนานแม่มดแบลร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กๆ ในเมืองตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากความโดดเด่นในการนำเสนอ อย่างการใช้ภาพจากกล้อง Handycam ที่ถ่ายโดยตัวละครตลอดทั้งเรื่องแล้ว (แน่นอนว่าภาพจึงมีความสั่นไหว ไม่ชัดเจน จนน่ากลัวไปอีกแบบ) สิ่งที่ทำให้ The Blair Witch Project ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามก็คือตำนานแม่มดที่ว่านี้ เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อการตลาดเท่านั้น

ด้วยทุนสร้างเพียงหลักหมื่นดอลลาร์ อย่าว่าแต่ทำหนังให้ดังเลย แค่ทำหนังให้เป็นหนังสักเรื่องก็ยังยาก ซึ่งทีมงานรู้ดีถึงข้อจำกัดนี้ แต่สิ่งที่พวกเขามีมากกว่าเงินก็คือความบ้าบิ่นเกินกว่าใครในโลกของภาพยนตร์ พวกเขาจึงตัดสินใจใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการสร้างสารคดีเกี่ยวกับแม่มดปลอมขึ้นมา เช่าเวลาไปฉายในรายการทีวี เสริมความน่าเชื่อถือด้วยการสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับแม่มดที่ว่านี้ ออกประกาศคนหาย (ซึ่งก็คือตัวละครในหนัง) จากนั้นก็ได้แถลงว่าพบฟุตเทจจากกล้องวิดีโอนั้น และมันกำลังกลายมาเป็นหนังเรื่องนี้ ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ถ้ามันเป็นการจัดฉาก ทำไมภาพในหนังหรือการแสดงถึงได้ดูสมจริงขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะว่านักแสดงเหล่านั้นก็แทบไม่รู้อะไรเลยพอๆ กับเรา และเสียงแปลกๆ ในป่า ก็เกิดจากทีมงานที่ไปแกล้ง ในขณะที่บางเสียงก็ไม่รู้ที่มาเหมือนกัน

Harry Potter (2001)

ฮาโลวีนทั้งทีก็ต้องดูหนังแม่มดสิ ซึ่งแม่มดตัวจริงที่ร่ายมนตร์จนทำเอาเด็กๆ ยุค 2000 หลงเสน่ห์เรื่องราวของเหล่าผู้วิเศษไปทั่วทั้งโลกมักเกิล คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก J. K. Rowling ผู้ให้กำเนิด Harry Potter นิยายและภาพยนตร์ชุดที่หลายคนหลงรักนั่นเอง

จากวรรณกรรมขายดีระดับโลกได้กลายมาเป็นภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยในปี 2001 ซึ่งตอนนี้มีอายุครบ 20 ปีพอดี หากยังจำกันได้เมื่อครั้งแรกที่ฉาย นี่เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่บรรยากาศในโรงหนังเต็มไปด้วยเสียงอุทานจากความตื่นเต้นของคนดู ที่อยู่ๆ บรรดาตัวละครสุดรักในจินตนาการก็ได้ออกมาโลดแล่นให้เห็นกันจริงๆ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์กับแว่นตารูปพระจันทร์เสี้ยว การขึ้นรถไฟไปยังฮอกวอตส์ที่ชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ รอน วีสลีย์ ที่ความพยายามเสกคาถาว่า “แสงแดด ดอกเดซี่ และเนยสุกรองเรือง จงเปลี่ยนหนูหน้าเซ่อตัวนี้ให้เป็นสีเหลือง” รวมไปถึงการปรากฏตัวของเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ กับท่าทางหยิ่งๆ ที่ทำให้ทั้งสามตัวละครหลักกลายเป็นเพื่อนรักกันในเวลาต่อมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำที่เติบโตควบคู่กันมากว่าครึ่งชีวิตของผู้คนมากมาย ดีไม่ดีเมื่อได้กลับไปดู Harry Potter ภาคแรกแล้ว ภาคที่เหลืออาจจะตามมาจนยาวไปถึงเช้าอีกวันก็เป็นได้

A Quiet Place (2018)

A Quiet Place เป็นหนังไซไฟระทึกขวัญที่เล่าถึงครอบครัวหนึ่ง สมาชิกประกอบไปด้วย พ่อที่เป็นช่าง แม่กำลังตั้งท้อง พี่สาวหูหนวก น้องชายที่ไม่สู้คน และน้องเล็กที่ยังเด็กเหลือเกิน พวกเขาใช้ชีวิตในฟาร์มทางชนบทที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี ยกเว้นอยู่อย่างเดียว นั่นคือไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามส่งเสียงเป็นอันขาด เพราะเพียงเสียงเบาๆ ที่แทบไม่มีผลในโลกที่วุ่นวายเช่นที่เราอยู่ กลับนำมาซึ่งหายนะได้ใน A Quiet Place โดยมีสัตว์ประหลาดลึกลับที่พวกมันไม่สามารถมองเห็นได้ ทว่ามีประสาทรับรู้ที่ไวต่อเสียง จะเข้ามาขย้ำคุณในทันทีเมื่อมันได้ยินอะไรบางอย่าง

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือการลุ้นระทึกไปกับตัวละครต่างๆ ว่าจะใช้ชีวิตกันอย่างไรในเมื่อการส่งเสียงเป็นเรื่องต้องห้าม ไหนจะข้อจำกัดทางการสื่อสาร โดยเฉพาะลูกสาวที่ไม่สามารถได้ยินอะไรได้เลย ไม่ว่าจะเสียงบอกรักกันภายในครอบครัวหรือเสียงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ในขณะที่แม่ก็กำลังท้องแก่ใกล้คลอด ซึ่งไม่บอกก็พอจะรู้ว่าต้องเจอกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้จึงทำให้คนดูสามารถอินตามไปกับเรื่องราวได้ไม่ยาก และในหลายๆ ฉากคุณอาจต้องเงียบจนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

The Fear Street Trilogy (2021)

เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียวว่าในปี 2021 จะทำหนังแนว Slasher Film ไล่เชือด เลือดสาด อย่างไรให้ไม่น่าเบื่อหรือมุกไม่ซ้ำได้อีก เพราะดูเหมือนว่าปัจจุบัน 90% ของหนังแนวนี้กลายเป็นหนังเกรดบีไปเสียหมดก็ว่าได้ แต่แล้ว Leigh Janiak ผู้กำกับที่ฝากผลงานไว้กับซีรีส์อย่าง Scream ก็ได้นำความตื่นเต้นนั้นกลับมาให้คอหนังสายโหดอีกครั้งกับตำนานแม่มดที่อาฆาตแค้นข้ามภพข้ามชาติในไตรภาค Fear Street ที่มีให้ชมทาง Netflix

หลังจากปล่อยภาคแรก Fear Street Part One: 1994 ออกมา เรื่องราวฆาตกรรมประหลาดอันมีฉากหลังเป็นยุค 90 ที่อัดแน่นไปด้วยคัลเจอร์ แฟชั่น และบทเพลงจากช่วงเวลาที่หลายคนคิดถึง แถมยังบูชาครูหนังสยองขวัญขึ้นหิ้งอย่าง Scream, I Know What You Did Last Summer รวมถึง Stranger Things ประกอบกับวิธีการนำเสนอและส่วนผสมที่ลงตัว ทำให้ผู้ชมพูดกันปากต่อปากจนกลายเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน พร้อมกับเฝ้ารอภาคต่อไปในสัปดาห์หน้ากันอย่างใจจดใจจ่อ นั่นคือ ภาคสอง Fear Street Part Two: 1978 เมื่อเรื่องราวถูกสืบสาวกลับไปในอดีต แน่นอนว่ามีกลิ่นอายของหนังสยองขวัญยุค 80 ในตำนานอย่าง Friday the 13th ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาคจบ Fear Street Part Three: 1666 กับต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีที่เป็นเลขอาถรรพ์ของซาตานเช่นนี้

LIFESTYLE

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.imdb.com/
https://en.wikipedia.org/